Tuesday, May 12, 2015

"สุดยอดหนังสือทางการจัดการของปี 2557" บทความเขียนใหม่สำหรับ Blog โดยเฉพาะ


สุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการของปี 2557


หลังจากนำบทความเก่าเก็บตั้งแต่ปี 2546 2547 เกี่ยวกับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการของปีนั้นๆ ก็เลยจะขอเขียนเกี่ยวกับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการของปี 2557 กันดูบ้างนะครับว่า สำนักต่างๆ ทั่วโลกนั้นได้มีการจัดอันดับสุดยอดหนังสือทางด้านการบริหาร การจัดการของปี 2557 ที่ผ่านมาไว้อย่างไรบ้าง

เริ่มจากสำนักหรือค่ายที่ผมใช้ในการอ้างอิงมาตั้งแต่ปี 2546 เลยนะครับ นั้นคือนิตยสาร Strategy + Business ครับ ที่เขายังคงจัดอันดับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการไว้อย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยเขาจะจัดเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ไว้

มาดูหมวดแรกก่อนครับ คือหมวดกลยุทธ์ (Strategy) เขาจัดสุดยอดหนังสือประจำปีไว้สามเล่มครับ

1. Business Strategy: Managing Uncertainty, Opportunity, and Enterprise โดย J.-C. Spender 

ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนพยายามที่จะมองกลยุทธ์ว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของ Quantitative ที่สามารถเอา model หรือสมการต่างๆ มาจับ แต่กระบวนการทางกลยุทธ์ เป็นกระบวนการในการมองไปข้างหน้า และขณะเดียวกันนวัตกรรมก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเองก็ได้มีการทบทวนบรรดาเครื่องมือทางด้านกลยุทธ์ต่างๆ ที่สำคัญ แต่ก็ยังเน้นว่าไม่อยากจะให้เครื่องมือเหล่านั้น มาจำกัดความยืดหยุ่นในการคิดเชิงกลยุทธ์ไป

ดูๆ แล้ว โดยส่วนตัวก็ถือว่าเป็นหนังสือที่มีความท้าทายและยากจะจับต้องได้พอสมควรครับ

2. Fewer, Bigger, Bolder: From Mindless Expansion to Focused Growth โดย Sanjay Khosla และ Mohanbir Sawhney

เป็นหนังสือที่นำเสนอ model ในการทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) โดยใช้ model ที่เรียกว่า Focus7 ซึ่งทั้ง 7 ขั้นตอนจะเน้นในการทำให้เกิดการเติบโตโดยอาศัยการลงทุนที่น้อย หรือ ต้นทุนที่ไม่สูง

3. Accelerate: Building Strategic Agility for a Faster-Moving World โดย John Kotter




สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต (บทความที่เขียนลงในกรุงเทพธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2011)


สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่งโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ

ประเด็นแรกคือผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจเพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้นเป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน

ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

ประเด็นที่สองคือผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ไ้ด้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้และให้เวลากับงานมากเกินไป

ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่? การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

ประเด็นที่สามคือผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง
ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวันจนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา

ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือ สถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่าเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจคือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งทีี่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตายคือเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

นอกจากนี้เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิ์ที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือ เลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจเมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ