ประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลง
ยุคนี้ถือเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงในเกือบทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นในภาคราชการ เอกชน หรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วๆ ไป ดูเหมือนว่าปัจจุบันเราจะหนีการเปลี่ยนแปลงไม่พ้น แล้วการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะที่รวดเร็วและรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ผู้ที่จะเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนจะต้องมีทักษะและความสามารถในการชี้นำและการบริหารการเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้บริหารท่านใดที่ไม่สามารถชี้นำและบริหารการเปลี่ยนแปลงได้คงจะต้องยอมรับสภาพและพร้อมที่จะล้าหลังผู้อื่น
ในอดีตเราอาจจะมองว่าองค์กรเป็นเหมือนเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่แล่นกลางมหาสมุทรที่สงบและเงียบ นานๆ ที่ถึงจะเจอพายุซักที ตอนที่มีพายุเรืออาจจะจอดเพื่อรอให้พายุสงบ และเมื่อพายุสงบแล้ว เรือโดยสารก็แล่นต่อไปในทิศทางเดิม นี้คือลักษณะขององค์กรต่างๆ ในอดีต ที่เรามักจะมองว่านานๆ ที่ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที และเมื่อการเปลี่ยนแปลงได้ผ่านพ้นไปแล้วองค์กรก็สามารถที่จะทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม แต่ในโลกปัจจุบันองค์กรเปรียบเสมือนแพยางที่ล่องอยู่ในแก่งที่น้ำเชี่ยวตลอดเวลา แพยางจะถูกกระแสน้ำพัดไปพัดมาตลอดเวลาไม่มีโอกาสได้สงบนิ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในแพยางจะต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา
ถ้าเปรียบเสมือนประเทศไทยเป็นองค์กรๆ หนึ่ง ท่านผู้อ่านจะพบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงทั้งจากสาเหตุภายในและภายนอกองค์กร ปัจจัยภายนอกนั้นเกิดขึ้นจากทั้งการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ พัฒนาการของเทคโนโลยีใหม่ๆ การเกิดขึ้นของกลุ่มการค้าต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเข้ามาของประเทศคู่แข่งทางการค้าต่างๆ ส่วนปัจจัยภายในที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็คงจะหนีไม่พ้นตัวผู้บริหารประเทศที่เปลี่ยนไป หรือภาวะเศรษฐกิจในประเทศ หรือแม้กระทั่งความต้องการของประชาชนภายในประเทศที่เริ่มเปลี่ยนไป
ผู้นำประเทศก็เปรียบเสมือนผู้นำองค์กรหนึ่งที่จะต้องรู้จักชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ รวมทั้งสามารถที่จะบริหารการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี บทความนี้ไม่เขียนขึ้นมาเพื่อยกยอรัฐบาลชุดนี้แต่อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่าแนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่รัฐบาลชุดนี้นำมาใช้ในการบริหารประเทศเปรียบเสมือนการยกตำราด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงมาประยุกต์ใช้ และคงถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ศึกษาในเรื่องของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ส่วนการเปลี่ยนแปลงนั้นจะสัมฤทธิ์ผลเพียงใดคงจะต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
การจะบริหารการเปลี่ยนแปลงให้ประสบผลสำเร็จจะต้องเริ่มจากการทำให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างวิกฤตการณ์ให้ทุกคนได้เห็นเลยว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดผลเสียอย่างไรขึ้น บางครั้งผู้บริหารเองก็เป็นผู้สร้างวิกฤตการณ์ขึ้นภายในองค์กรเอง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เมื่อสร้างสถานการณ์และบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวผู้บริหารระดับสูงเองจะต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจน โดยอาจจะทำตัวเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง (Change Sponsor) อยู่ห่างๆ หรือทำตัวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) เสียเอง
อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นเมื่อผู้บริหาต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร คือการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสาเหตุสำคัญของการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นจากเหตุผลสำคัญๆ ได้แก่
- ความกังวลต่อความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากไม่รู้ว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วจะส่งผลต่อตนเองหรือองค์กรอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน
- ความกังวลต่อการสูญเสียในสิ่งต่างๆ ที่เคยไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ที่เคยมี บริวารที่เคยห้อมล้อม รายได้ที่ได้ หรือสถานะต่างๆ ที่เคยมีอยู่ โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะไม่พูดออกมาถึงสาเหตุของการต่อต้านในลักษณะนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจคนส่วนใหญ่เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง
- สุดท้ายก็เกิดขึ้นเนื่องจากการที่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อองค์กร ข้อนี้มักจะเป็นข้ออ้างที่ได้ยินกันบ่อยๆ โดยยกประโยชน์ส่วนรวมขึ้นมาอ้าง ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียต่อองค์กรโดยรวม
ผู้บริหารที่จะบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ดีจะต้องมีความสามารถในการลดหรือการขจัดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยอาจจะ
- ให้ความรู้และการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงสาเหตุ ผลและประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างถ้าการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจถึงสาเหตุหรือความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง ท่านผู้อ่านคงเคยเห็นนะครับที่ผู้นำต่างๆ ไม่ว่าผู้นำขององค์กรหรือของประเทศที่พยายามสื่อสารและทำความเข้าใจกับคนในองค์กรถึงสาหตุและความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
- การดึงให้ผู้ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเข้ามาเป็นพวก วิธีนี้ใช้และเห็นกันบ่อยๆ ในองค์กรทั่วๆ ไป พอถึงพวกที่ต่อต้านเข้าเป็นพวกแล้ว บุคคลเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นพวกแทนที่จะต่อต้าน
- วิธีสุดท้ายเมื่อสื่อสารไม่ได้ผล และไม่สามารถดึงเข้ามาเป็นพวกแล้ว ก็ต้องทำการต่อรองกับพวกที่ต่อต้าน โดยอาจจะเป็นการต่อรองในเรื่องของผลประโยชน์หรือเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนในสิ่งใดเพื่อให้พวกต่อต้านเลิกต่อต้าน วิธีนี้เราจะพบได้บ่อยเมื่อรัฐบาลไม่สามารถลดการต่อต้านด้วยวิธีอื่นๆ ได้
ท่านผู้อ่านลองดูซิครับว่าเมื่อรัฐบาลคิดจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยแล้ว รัฐบาลได้พยายามที่จะใช้หลักการในการบริหารการเปลี่ยนแปลงข้างต้น ซึ่งถือว่าการนำหลักการมาใช้เป็นสิ่งที่ดี ส่วนการจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือที่เรียกกันว่า Execution
No comments:
Post a Comment