Tuesday, May 12, 2015

"สุดยอดหนังสือทางการจัดการของปี 2557" บทความเขียนใหม่สำหรับ Blog โดยเฉพาะ


สุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการของปี 2557


หลังจากนำบทความเก่าเก็บตั้งแต่ปี 2546 2547 เกี่ยวกับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการของปีนั้นๆ ก็เลยจะขอเขียนเกี่ยวกับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการของปี 2557 กันดูบ้างนะครับว่า สำนักต่างๆ ทั่วโลกนั้นได้มีการจัดอันดับสุดยอดหนังสือทางด้านการบริหาร การจัดการของปี 2557 ที่ผ่านมาไว้อย่างไรบ้าง

เริ่มจากสำนักหรือค่ายที่ผมใช้ในการอ้างอิงมาตั้งแต่ปี 2546 เลยนะครับ นั้นคือนิตยสาร Strategy + Business ครับ ที่เขายังคงจัดอันดับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการไว้อย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยเขาจะจัดเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ไว้

มาดูหมวดแรกก่อนครับ คือหมวดกลยุทธ์ (Strategy) เขาจัดสุดยอดหนังสือประจำปีไว้สามเล่มครับ

1. Business Strategy: Managing Uncertainty, Opportunity, and Enterprise โดย J.-C. Spender 

ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนพยายามที่จะมองกลยุทธ์ว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของ Quantitative ที่สามารถเอา model หรือสมการต่างๆ มาจับ แต่กระบวนการทางกลยุทธ์ เป็นกระบวนการในการมองไปข้างหน้า และขณะเดียวกันนวัตกรรมก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเองก็ได้มีการทบทวนบรรดาเครื่องมือทางด้านกลยุทธ์ต่างๆ ที่สำคัญ แต่ก็ยังเน้นว่าไม่อยากจะให้เครื่องมือเหล่านั้น มาจำกัดความยืดหยุ่นในการคิดเชิงกลยุทธ์ไป

ดูๆ แล้ว โดยส่วนตัวก็ถือว่าเป็นหนังสือที่มีความท้าทายและยากจะจับต้องได้พอสมควรครับ

2. Fewer, Bigger, Bolder: From Mindless Expansion to Focused Growth โดย Sanjay Khosla และ Mohanbir Sawhney

เป็นหนังสือที่นำเสนอ model ในการทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) โดยใช้ model ที่เรียกว่า Focus7 ซึ่งทั้ง 7 ขั้นตอนจะเน้นในการทำให้เกิดการเติบโตโดยอาศัยการลงทุนที่น้อย หรือ ต้นทุนที่ไม่สูง

3. Accelerate: Building Strategic Agility for a Faster-Moving World โดย John Kotter




สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต (บทความที่เขียนลงในกรุงเทพธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2011)


สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่งโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ

ประเด็นแรกคือผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจเพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้นเป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน

ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

ประเด็นที่สองคือผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ไ้ด้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้และให้เวลากับงานมากเกินไป

ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่? การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

ประเด็นที่สามคือผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง
ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวันจนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา

ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือ สถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่าเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจคือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งทีี่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตายคือเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

นอกจากนี้เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิ์ที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือ เลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจเมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ


Thursday, January 1, 2015

"สุดยอดหนังสือทางการจัดการ ประจำปี 2547" จากบทความสองบทความที่ลงต่อเนื่องในผจก.รายสัปดาห์ เดือนธันวาคม 2547

สุดยอดหนังสือด้านการจัดการปี 2547


พอใกล้สิ้นปีก็เข้าสู่เทศกาลการจัดลำดับสุดยอดต่างๆ ในปีที่ผ่านมานะครับ และดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของผมทุกสิ้นปีเหมือนกันที่นำเสนอท่านผู้อ่านด้วยหนังสือทางด้านการจัดการชั้นนำของรอบปีที่ผ่านมา แต่ผมเองก็ยังไม่หาญกล้าไปจัดลำดับเองนะครับ เนื่องจากไม่สามารถตามอ่านได้ทุกเล่ม ดังนั้นก็เลยต้องนำมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซึ่งในปีนี้นำมาจากวารสาร Strategy + Business ซึ่งเป็นวารสารทางด้านกลยุทธ์ในสังกัดของบริษัทที่ปรึกษา Booz Allen Hamilton หนังสือส่วนใหญ่ที่จะนำเสนอนั้นก็พอจะหาได้ในเมืองไทยครับ แหล่งใหญ่ๆ ที่ผมเจอส่วนมากก็ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และเอเซียบุคส์ครับ

การย้อนกลับไปดูหนังสือดังทางด้านการจัดการในรอบปีก็เปรียบเสมือนการย้อนกลับไปดูว่าในรอบปีที่ผ่านมาได้มีพัฒนาการหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านการบริหารจัดการอะไรเกิดขึ้นบ้าง เนื่องจากแนวคิดทางด้านการจัดการส่วนมากก็มักจะมีจุดเริ่มต้นจากหนังสือเหล่านี้ทั้งสิ้นครับ อย่างไรก็ดีในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผมมองว่าในปี 2547 ที่กำลังจะผ่านไปนั้นในแวดวงของหนังสือทางด้านการจัดการ ไม่คึกคักหรือก่อให้เกิดความตื่นเต้นเท่ากับปีก่อนๆ ที่ผ่านมา หนังสือดังๆ ที่วางแผงและขายดี (ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ) ก็ไม่ได้นำเสนอสิ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมทางการจัดการซักเท่าใด ส่วนมากแล้วจะเป็นการต่อยอดทางความคิดของสิ่งที่ได้มีมาหรือเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ดังนั้นท่านที่เป็นผู้บริหารระดับสูงหรือผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงวิชาการด้านการบริหารจัดการก็คงจะรู้สึกยังไม่ค่อยสะใจเท่าใดนัก ขอเริ่มต้นเลยดีกว่านะครับ

ในการได้มาซึ่งลำดับของสุดยอดหนังสือปี 2547 นั้น ทางวารสาร Business + Strategy เขาได้มีการส่งแบบสอบถามไปยังทั้งผู้บริหารและนักวิชาการชั้นนำต่างๆ เพื่อให้จัดลำดับหนังสือในดวงใจของปี 2547 มาให้ ดังนั้นรายชื่อหนังสือเหล่านี้จึงไม่ใช่ความคิดเห็นของคนไม่กี่คน โดยวารสาร Business + Strategy เขาได้มีการแบ่งหมวดหมู่หนังสือออกเป็นด้านต่างๆ ทั้งหมดเก้าด้าน ได้แก่ Strategy, Management, IT&Innovation, Leadership, Governance, Change Management, The Bubble (internet boom), Behavioral Economics, และ New Consumer ก็ขอเริ่มต้นในสิ่งที่ผมถนัดก่อนนะครับ และคงจะเน้นย้ำในบางหมวดที่ผมถนัดเป็นหลักนะครับ

ในหมวดด้านกลยุทธ์นั้น มีหนังสือที่ได้รับการยกย่องสามเล่ม เล่มแรกได้แก่ Confronting Reality: Doing What Matters to Get Things Right โดย Larry Bossidy และ Ram Charan ซึ่งถือเป็นตอนต่อจากหนังสือที่ขายดีมากๆ โดยผู้เขียนทั้งสองท่านนั้นคือ Execution แต่จากที่ผมได้อ่านหรือได้พูดคุยกับผู้ที่อ่านทั้งสองเล่ม ก็ต่างรู้สึกเป็นเสียงเดียวว่าในหนังสือ Confronting Reality นั้นยังสู้เล่มแรกคือ Execution ไม่ได้ (สู้ไม่ได้ในที่นี้หมายถึงในด้านของคุณค่าที่ได้รับภายหลังจากการอ่านจบนะครับ) แต่ก็ให้ข้อคิดที่ดีๆ หลายประการ เพียงแต่ข้อคิดเหล่านั้นสำหรับผู้บริหารที่เชี่ยวชาญแล้วไม่ใช่สิ่งใหม่ เพียงแต่เป็นการตอกย้ำให้ผู้บริหารและผู้อ่านได้ตระหนักถึงความเป็นจริงมากขึ้น

เล่มที่สองนั้นชื่อ The Future of Competition: Co-Creating Unique Value with Customers โดย C.K. Prahalad และ Venkat Ramaswamy ซึ่ง C.K. Prahalad ถือเป็นกูรูทางด้านการจัดการที่สำคัญคนหนึ่งของโลก เขาเคยเขียนหนังสือคู่ กับ Gary Hamel จนโด่งดังมาแล้ว (หนังสือชื่อ Competing for the Future ที่ได้เสนอแนวคิดในเรื่องของ Core Competencies) ในหนังสือเล่มใหม่ของ Prahalad และ Ramaswamy นั้น ได้พยายามสื่อให้องค์กรธุรกิจได้เห็นถึงความสำคัญของลูกค้ามากขึ้น โดยแทนที่จะมองลูกค้าเป็นเพียงแค่ผู้มาซื้อสินค้าและบริการเพียงอย่างเดียว องค์กรธุรกิจควรจะมองลูกค้าในฐานะเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการออกแบบและพัฒนาตัวรูปแบบของสินค้าและบริการต่างๆ โดยจากประสบการณ์ระหว่างองค์กรกับลูกค้าจะย้อนกลับมาเป็นข้อมูลสำหรับองค์กรในการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ดีขึ้น ในหนังสือเล่มนี้เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับคำว่า ‘Experience’ ระหว่างลูกค้าและองค์กรค่อนข้างมาก ตัวอย่างที่ใช้ก็ชัดเจนครับ เช่นในการสร้างหนัง Lord of the Rings: Fellowship of the Ring นั้นทางบริษัทผู้สร้างก็ได้ส่งตัวอย่างรูปของเสื้อผ้า หรือรายละเอียดของหนังไปให้บรรดาเว็บไซต์ของ Lord of the Rings ดูเพื่อรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัวด้วย หนังสือเล่มนี้ก็ให้ความคิดและตัวอย่างที่ดีครับ เพียงแต่เนื้อหาของหนังสือยังมุ่งเน้นในการให้กรอบแนวคิดเป็นหลัก ถ้าผู้บริหารอ่านแล้วจะนำไปใช้หรือไปปฏิบัติเลยคงจะต้องขวนขวายกันเอาเองเหมือนกันครับ

เล่มที่สามคือ Strategy Maps: Converting Intangible Assets into Tangible Outcomes โดย Robert S. Kaplan และ David P. Norton หนังสือเล่มนี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะคุ้นๆ กันดี เนื่องจากเป็นเล่มที่สามของผู้เขียนทั้งคู่ต่อจาก Balanced Scorecard และ Strategy-Focused Organization อีกทั้งหนังสือเล่มนี้ก็ได้มีการแปลเป็นภาษาไทยโดยทางเครือผู้จัดการ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยในหลักการของ Balanced Scorecard และ Strategy Map อยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้สิ่งที่ใหม่เท่าใด แต่เป็นการนำเสนอถึงแนวทาง ตัวอย่างและวิธีการขององค์กรในลักษณะต่างๆ ในการพัฒนา Strategy Map เรียกได้ว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ที่กำลังคิดจะนำ Balanced Scorecard มาใช้ในองค์กร แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากที่ใด 

ดูเหมือนว่าแนวโน้มสำคัญของสุดยอดหนังสือในด้านกลยุทธ์ในรอบปีที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติให้เห็นผลค่อนข้างมากนะครับ Confronting Reality นั้นมุ่งเน้นในเรื่องของกรอบแนวคิดของกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยคำนึงถึงทั้งสภาวะแวดล้อมที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอก ส่วน Strategy Maps นั้นก็นำเสนอถึงเครื่องมือที่องค์กรใช้ในการสื่อสารและถ่ายทอดกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ และ The Future of Competition นั้นก็นำเสนอถึงการนำลูกค้ามาเป็นพันธมิตรในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และเมื่อผมย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับสุดยอดหนังสือทางด้านกลยุทธ์ในปี 2546 ของวารสารเดียวกันก็พอเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันครับ ในปีที่แล้วหนังสือสามเล่มที่ได้รับการเลือกให้เป็นสุดยอดทางด้านกลยุทธ์ได้แก่ 1) The Innovator’s Solution โดย Clayton Christensen และ Michael Raynor  2) Double-Digit Growth โดย Michael Treacy และ 3) How to Grow When Markets Don’t โดย Adrian Slywotzky และ Richard Wise ซึ่งท่านผู้อ่านคงจะเห็นนะครับว่าในปีที่แล้วหนังสือทางด้านกลยุทธ์จะเน้นในเรื่องของกลยุทธ์การเติบโตเป็นหลัก แต่พอปีนี้จะเน้นในเรื่องของภาคปฏิบัติมากขึ้น


สัปดาห์หน้าเรามาดูสุดยอดหนังสือในหมวดอื่นๆ กันดูบ้างนะครับ


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้นำเสนอสุดยอดหนังสือด้านการบริหารกลยุทธ์ของปี 2547 มาให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณากัน ซึ่งผมว่าพอจะทำให้เห็นแนวโน้มทางการจัดการกลยุทธ์ที่สำคัญในปีที่ผ่านมา โดยผลการจัดลำดับนั้นได้มาจากการสำรวจของวารสาร Strategy + Business ซึ่งเป็นวารสารในเครือของบริษัทที่ปรึกษาชื่อดัง Booz Allen Hamilton สัปดาห์นี้ผมก็เลยขอต่อด้วยสุดยอดหนังสือด้านการบริหารจัดการกันบ้างนะครับ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีดีๆ อยู่หลายเล่มด้วยกัน (ส่วนใหญ่แล้วจะมีขายในประเทศไทย ลองหาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และเอเซียบุคส์นะครับ)

เริ่มกันเล่มแรกที่ Managers Not MBAs: A Hard Look at the Soft Practice of Managing and Management Development เขียนโดยอาจารย์ชื่อดังทางด้านการจัดการ Henry Mintzberg ครับ หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างหนาพอสมควร แต่เป็นหนังสือที่ผมว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร MBA ควรจะได้อ่าน เนื่องจาก Mintzberg ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องของการศึกษาทางด้าน MBA ในการพัฒนาผู้ที่จะเป็นผู้บริหารต่อไป พร้อมทั้งได้นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาผู้บริหารที่ไม่ใช่หลักสูตรเอ็มบีเอ และในช่วงหลังผมเจอบทความของนักวิชาการหลายคนที่พูดถึงจุดบกพร่องของหลักสูตร MBA แบบดั้งเดิมมากขึ้น ที่อเมริกาในปัจจุบันอัตราส่วนของผู้สมัครต่อจำนวนที่รับของหลักสูตรเอ็มบีเอชั้นนำจะเริ่มต่ำกว่าหลักสูตร MFA (Master of Fine Art) กันแล้วนะครับ
เล่มที่สองชื่อ A Bias for Action: How Effective Managers Harness Their Willpower, Achieve Results, and Stop Wasting Time เขียนโดย Heike Bruch และ Sumantra Ghoshal (เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานมานี่เองครับ) โดยหนังสือเล่มนี้จะเน้นในการให้ข้อเสนอแนะต่อผู้บริหารในการที่จะทำให้เกิดความมุ่งมั่นในการทำงาน เพื่อที่จะทำงานให้สำเร็จ หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดที่ดีๆ หลายอย่างเกี่ยวการทำงานให้เกิดผลสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้

เล่มถัดมาเขียนโดย CEO ของบริษัท Semco ในประเทศบราซิล (Ricardo Semler) ชื่อ The Seven-Day Weekend: Changing the Way Work Works เป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มครับ โดยที่บริษัทนี้เขาได้พัฒนาระบบในการบริหารในรูปแบบใหม่ขึ้นมาที่ทำให้กลายเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วโลก โดยแทนที่จะยึดตามหลักการบริหารแบบดั้งเดิมที่เราเรียนกันมา เขากลับลดกำแพงกั้น ลดกรอบ ระเบียบ ปฏิบัติต่างๆ และให้บุคลากรของเขามีอิสระมากขึ้น ผมเองจำได้เคยนำเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้มานำเสนอท่านผู้อ่าน ลองกลับไปดูเล่มเก่าๆ ดูนะครับ แล้วท่านผู้อ่านจะสงสัยว่ามีบริษัทไหนอีกไหมที่สามารถทำได้แบบ Semco 

เล่มต่อมาเป็นหนังสือที่ขายดีในประเทศไทยเล่มหนึ่งครับ ชื่อ The Toyota Way: 14 Management Principles from the World’s Greatest Manufacturer เขียนโดย Jeffrey K. Liker เป็นหนังสือที่พูดถึงหลักการในการบริหารของโตโยต้าที่โด่งดังไปทั่วโลก (ในเรื่องของ Lean Production) โดยหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงหลักการ 14 ข้อของโตโยต้า ที่เขาใช้ในการบริหารจัดการ หนังสือเล่มถัดมาก็นำเอาบริษัทอีกบริษัทมาอธิบายอย่างละเอียดเช่นเดียวกับเล่มที่ผ่านมา นั้นคือ The Real Thing: Truth and Power at the Coca-Cola Company เขียนโดย Constance L. Hays เพียงแต่หนังสือเล่มนี้แตกต่างจาก The Toyota Way ในประเด็นที่ว่าเป็นการนำเอาเหตุการณ์ที่สำคัญของโคคาโคล่า ในรอบ 20 ปี มาเขียนในเชิงของกรณีศึกษา และนับเป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เราได้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของผู้บริหารสูงสุดต่อความเจริญหรือปัญหาของโคคาโคล่า

หนังสือที่ได้รับการจัดอันดับทางด้านการบริหารจัดการเป็นเล่มสุดท้ายชื่อ Predictable Surprises: The Disasters You Should Have Seen Coming and How to Prevent Them โดย Max H. Bazerman และ Michael D. Watkins เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ก็เป็นไปตามชื่อเลยครับ นั้นคือความแปลกใจ (ในเชิงร้ายๆ นะครับ) หลายอย่างสามารถที่จะเห็นหรือคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแต่ทำไมเรามักจะไม่ป้องกันไว้ก่อน (ฟังดูคล้ายๆ กับการบริหารความเสี่ยงนะครับ) คำว่า Predictable Surprise นั้นผู้เขียนทั้งสองท่านให้คำนิยามไว้ว่าเป็นผลจากปัญหาที่เราทราบว่ามีอยู่ และความรุนแรงของปัญหานั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูนะครับว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็มักจะไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากปัญหาในเรื่องของต้นทุนที่สูงในการแก้ปัญหาให้จบสิ้นตั้งแต่แรก หรือบุคลากรบางกลุ่มไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือบุคลากรส่วนน้อยต่อต้าน เนื่องจากถ้ามีการแก้ไขปัญหานั้น ก็อาจจะทำให้บุคลากรกลุ่มนั้นเสียผลประโยชน์ไปได้ หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวอย่างของเหตุการณ์ 11 กันยา และเหตุการณ์ Enron เป็นกรณีศึกษาว่าเป็น Predictable Surprise ที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นมาได้

ยังพอมีเนื้อที่เหลือเรามาดูหนังสือในหมวดอื่นที่น่าสนใจบ้างนะครับ (แต่เป็นแบบสั้นๆ นะครับ) ในด้านภาวะผู้นำนั้น หนังสือที่ได้รับยกย่องให้เป็นสุดยอดของปี 2547 ประกอบด้วย 1) Authentic Leadership โดย Bill George (จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2546 แล้วครับ แต่สงสัยเพิ่งมาดังช่วงหลัง) 2) Why CEOs Fail โดย David L. Dotlich และ Peter C. Cairo 3) Testosterone Inc. โดย Christopher Byron (หนังสือเล่มนี้มุ่งเผยด้านมืดของซีอีโอหลายๆ คนครับ โดยมุ่งเป้าไปที่ Jack Welch เป็นหลัก) 4) The Price of Loyalty โดย Paul O’Neill (ท่านผู้อ่านอาจจะจำผู้เขียนท่านนี้ได้ครับ เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในสมัยแรกของประธานาธิบดีบุช และถูกให้ออก เป็นหนังสือที่เล่าผู้นำที่ต้องการความภักดีจากลูกน้อง แต่ไม่ทำตัวให้น่าภักดีด้วย) 5) Alexander Hamilton โดย Ron Chernow (เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของบุคคลคนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ)

จริงๆ แล้วยังมีในอีกหลายหมวดนะครับที่เขาได้มีการจัดลำดับสุดยอดหนังสือแห่งปี 2547 เอาไว้ แต่ขออนุญาตนำเสนอเพียงแค่สามหมวดนะครับ 

"สุดยอดหนังสือการจัดการปี 2546" หรือปี 2003 อีกหนึ่งบทความที่ลงผจก.รายสัปดาห์ ฉบับส่งท้ายปี 2003


สุดยอดหนังสือการจัดการปี 2546

ใกล้ถึงสิ้นปีแล้วก็มักจะมีการจัดลำดับเรื่องเด็ดๆ ประจำปีที่ผ่านมากันเป็นประจำนะครับ ในช่วงสิ้นปีนี้ผมจึงขอนำเสนอสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการในปี 2546 ที่ได้มีการจัดลำดับกันโดยผู้รู้และผู้ที่อยู่ในแวดวงที่เกี่ยวข้องนะครับ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาได้มีความตื่นตัวในการอ่านหนังสือทางด้านการบริหารจัดการเริ่มที่จะมีมากขึ้น ทั้งที่เกิดจากการแนะนำหนังสือทางด้านการจัดการของผู้บริหารประเทศ หรือกระแสความตื่นตัวในเรื่องของธุรกิจที่เริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้จากหนังสือในทางด้านการบริหารจัดการที่ออกมาจำนวนมากทั้งที่เขียนกันขึ้นมาเองหรือที่ไปแปลมาจากของต่างประเทศ ดังนั้นในสัปดาห์นี้ผมจึงขอนำเสนอสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการในปี 46 โดยจะนำเสนอในวันนี้มาจากการคัดเลือกของนิตยสาร Strategy + Business ซึ่งเป็นนิตยสารในสังกัดของบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการจัดการ Booz Allen Hamilton ดังนั้นผู้ที่คัดเลือกสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงมาจากเหล่าที่ปรึกษาของ Booz Allen เอง

การจัดลำดับสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการในปี 46 นี้ เขาได้มีการแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งด้านกลยุทธ์ (Strategy) ด้านการจัดการ (Management) ด้านนวัตกรรม (Innovation) ด้านจริยธรรมขององค์กร (Corporate Scandals) ด้านโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ด้านภาวะผู้นำ (Leadership) ด้านทุนมนุษย์ (Human Capital) ด้านประวัติศาสตร์ธุรกิจ (Business History) และพวกหนังสือคลาสสิกต่างๆ เราลองมาดูรายชื่อหนังสือในบางส่วนบางหมวดแล้วกันนะครับ ขออนุญาตไม่พูดถึงทุกเล่มนะครับเนื่องจากเขาแนะนำไว้หลายเล่ม และขอแนะนำแต่เฉพาะหนังสือที่พอหาอ่านได้ในเมืองไทย ซึ่งแหล่งใหญ่ๆ ที่ผมหาหนังสือเหล่านี้เจอคือที่ศูนย์หนังสือจุฬา และร้านเอเซียบุคส์ 

ในหมวดกลยุทธ์นั้นสุดยอดหนังสือทางด้านนี้ประกอบด้วย The Innovator’s Solution: Creating and Sustaining Successful Growth เขียนโดย Clayton Christensen และ Michael Raynor ซึ่งผมเองกำลังอ่านเล่มนี้อยู่พอดี และได้เคยนำแนวคิดเบื้องต้นจากหนังสือเล่มนี้มานำเสนอไว้เมื่อประมาณเดือนที่ผ่านมา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่น่าสนใจและเหมาะสมสำหรับองค์กรที่ต้องการที่จะเติบโตโดยการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม ถือกันว่าเป็นสุดยอดหนังสือทางด้านกลยุทธ์ของปีเลยทีเดียว อีกเล่มหนึ่งชื่อ Double-Digit Growth: How Great Companies Achieve It – No Matter What เขียนโดย Michael Treacy ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเขียนหนังสือคลาสสิกทางด้านการจัดการเล่มหนึ่ง (The Discipline of Market Leaders) หนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ได้ให้แนวคิดอะไรใหม่ๆ สำหรับองค์กรที่ต้องการจะเติบโต แต่เป็นการนำเสนอแนวทางในการเติบโต ที่อยู่ในรูปที่สามารถเข้าใจและอ่านได้ง่ายมากกกว่า
ในหมวดด้านการจัดการนั้นประกอบด้วย Beyond Budgeting: How Managers Can Break Free from the Annual Performance เขียนโดย Jeremy Hope และ Robin Fraser ซึ่งจริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ออกมาตั้งแต่ต้นๆ ปี ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านจำได้ผมจะเคยนำแนวคิดและหลักการจากแนวคิดของหนังสือเล่มนี้มานำเสนอท่านผู้อ่านไว้เมื่อประมาณกลางปีนี้ แต่หนังสือเล่มนี้เพิ่งมาโด่งดังในประเทศไทยในช่วงหลังเนื่องจากเป็นหนึ่งในหนังสือแนะนำของท่านนายกฯ โดยหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการทำงบประมาณเสียใหม่ เพื่อพัฒนาการดำเนินงานขององค์กรให้ดีขึ้น และดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะได้กลายเป็นที่กล่าวขวัญในแวดวงราชการกันพอสมควร โดยข้าราชการผู้ใหญ่หลายท่านที่ผมรู้จักได้บอกว่ามีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตทางรัฐบาลไทยจะนำเอาแนวคิดในเรื่องของ Beyond Budgeting มาปรับใช้ อีกเล่มหนึ่งชื่อ Who Really Matters: The Core Group Theory of Power, Privilege, and Success เขียนโดย Art Kleiner ซึ่งพูดถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในองค์กรที่เป็นกลุ่มที่มีขนาดเล็ก แต่เป็นกลุ่มที่มีพลังและทรงอำนาจที่สุดในองค์กร โดยบุคคลในกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บริหารก็ได้ ท่านผู้อ่านลองย้อนกลับไปดูที่องค์กรของท่านก็ได้นะครับจะพบคนกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ หนังสืออีกเล่มที่น่าสนใจในหมวดนี้ชื่อ False Prophets: The Gurus Who Created Modern Management and Why Their Ideas Are Bad for Business Today เขียนโดย James Hoops เป็นหนังสือที่ผู้ที่คุ้นเคยกับเหล่านักคิดทางด้านการจัดการอาจจะชื่นชอบ เนื่องจากได้ศึกษาแนวคิดของนักคิดทางด้านการจัดการชื่อดังต่างๆ ตั้งแต่ Frederick Taylor จนถึง Peter Drucker และได้ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดบางประการของสุดยอดนักคิดเหล่านี้ไม่เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน

ในหมวดที่สามเป็นหมวดทางด้านนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งในความคิดของผมแล้ว แนวคิดในเรื่องของ Innovation จะกลายเป็นแนวคิดที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการประสบความสำเร็จขององค์กรต่างๆ เนื่องจากถ้าขาดซึ่งนวัตกรรมแล้วย่อมยากที่องค์กรจะประสบความสำเร็จเหนือองค์กรอื่นได้ และท่านผู้อ่านต้องอย่าลืมนะครับว่านวัตกรรมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่นวัตกรรมครอบคลุมทั้งในด้านการจัดการ การตลาด รวมทั้งด้านอื่นๆ ในองค์กร หนังสือที่โดดเด่นทางด้านนวัตกรรมในปีที่ผ่านมาประกอบด้วย How Breakthroughs Happens: The Surprising Truth About How Companies Innovate เขียนโดย Andrew Hargadon ซึ่งมองว่านวัตกรรมใหม่ๆ ในองค์กรจะเกิดขึ้นได้จากการนำแนวคิดใหม่ๆ มาจากหลายๆ แหล่ง และนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ นั้นไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ เพียงแต่เป็นการผสมผสานและดึงเอาไอเดียจากหลายๆ แหล่งมาผสมผสานกันมากกว่า โดยองค์กรจะต้องสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่กระตุ้นให้นวัตกรรมจากหลายๆ แหล่ง อีกเล่มหนึ่งชื่อ Open Innovation: The New Imperative for Creating and Profiting from Technology เขียนโดย Henry Chesbrough ก็มองแนวคิดในเรื่องของนวัตกรรมต่อเนื่องจากหนังสือ How Breakthroughs Happens โดยมองว่าแนวคิดด้านนวัตกรรมในปัจจุบันควรจะเป็นแนวคิดที่เปิด ที่พร้อมจะเปิดรับไอเดียและความรู้ใหม่ๆ จากภายนอกองค์กร มากกว่าการมองว่านวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากภายในองค์กรเท่านั้น ดูเหมือนว่าแนวโน้มด้านนวัตกรรมในปัจจุบันจะมุ่งเน้นการนำไอเดียและแนวคิดจากที่มีอยู่แล้วภายนอกมาปรับใช้ภายในองค์กรมากกว่าจะเป็นการมุ่งเน้นที่การวิจัยและพัฒนาจากภายในนะครับ

ผมขออนุญาตนำเสนอรายละเอียดเฉพาะในสามหมวดข้างต้นนะครับ อาจจะเป็นเนื่องจากความสนใจส่วนตัวต่อทั้งสามหมวดก็ได้ ส่วนท่านที่สนใจอยากจะทราบว่าสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการในหมวดอื่นๆ นั้นประกอบด้วยหนังสืออะไรบ้างก็ไม่ต้องน้อยใจนะครับ ผมจะนำเสนอเฉพาะชื่อหนังสือและผู้แต่งให้ทราบ เพียงแต่ต้องเรียนตรงๆ ว่าหลายเล่มที่ยังไม่เคยได้ยินหรือเคยเห็นในเมืองไทย ประกอบกับไม่ใช่ความสนใจหลักก็เลยไม่ได้ขวนขวายหาเลยไม่ทราบว่าที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ กับที่เอเซียบุคส์จะมีหรือไม่

ในหมวด Corporate Scandals นั้นมีอยู่หลายเล่มมาก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาได้มีตัวอย่างหรือกรณีศึกษาในด้านนี้จำนวนมากก็ได้ หนังสือในหมวดนี้ประกอบด้วย 1) Anatomy of Greed โดย Brain Cruver 2) Boardbandits โดย Om Malik 3) Disconnected: Deceit and Betrayal at WorldCom โดย Lynne W. Jeter 4) Enron: The Rise and Fall โดย Loren Fox 5) Power Failure: The Inside Story of the Collapse of Enron โดย Mimi Swartz 6) The Smartest Guys in The Room โดย Belhany McLean และ Peter Elkind 7) Stealing Time โดย Alec Klien และ 8) Tearing Down the Walls โดย Monica Langley ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้เลยนะครับว่าสุดยอดหนังสือเหล่านี้จะเป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษาของบริษัทที่มีปัญหาและล้มเหลวในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น Enron หรือ WorldCom

ในหมวด Globalization จะประกอบด้วย 1) Empire: The rise and demise of the British World order and the lessons for global power โดย Niall Ferguson 2) The Future of Freedom โดย Fareed Zakaria 3) One World: The Ethics of Globalization โดย Peter Singer 4) World on Fire โดย Amy Chua ส่วนในหมวด Leadership หรือภาวะผู้นำนั้นประกอบด้วย 1) Good Business: Leadership, Flow, and the Making of Meaning โดย Mihaly Csikszentmihalyi 2) Transforming Leadership โดย James MacGregor Burns 3) Treat People Right! โดย Edward E. Lawler สุดท้ายเป็นทางด้านทุนมนุษย์ (Human Capital) ซึ่งปรากฎว่าหนังสือที่สุดยอดที่สุดในด้านนี้กลับเป็นหนังสือที่เขียนอิงเรื่องราวจากกีฬาเบสบอล ที่ชื่อ Moneyball: The Art of Winning an Unfair Game โดย Michael Lewis 


เท่าที่ดูรายชื่อสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการในปีนี้ ดูเหมือนจะไม่คึกคักเท่าปีที่แล้วนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของผู้เขียนหนังสือแต่ละเล่มที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งจะมีทั้งนักวิชาการและผู้บริหารระดับสูงเข้ามาเขียนหนังสือขายดีจำนวนหลายเล่ม (เช่น Execution หรือ Who Says Elephant Can’t Dance) อย่างไรก็ดีพอหันมาดูตลาดหนังสือทางด้านบริหารธุรกิจในบ้านเรากลับตื่นตัวและคึกคักกันอย่างมากทั้งหนังสือในแนว Pocket Book ที่ออกมากันเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือแปลจากต่างประเทศ ที่เดี๋ยวนี้มีบริษัทที่เปิดขึ้นมาเพื่อไปซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศและนำมาแปลเป็นภาษาไทยกันโดยเฉพาะ นอกจากนั้นวารสารต่างๆ ทางด้านบริหารธุรกิจก็เปิดตัวกันเยอะมาก จากในอดีตในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาที่มีเหลือเพียงไม่กี่ฉบับ แต่ปัจจุบันมีวางกันเต็มแผงไปหมด จนน่าเป็นห่วงว่าจะนำตัวผู้เขียนและเนื้อหามาจากไหน อย่างไรก็ดีผมว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านและผู้บริโภคทุกท่าน เพียงแต่ท่านผู้อ่านคงจะต้องเลือกที่จะอ่านและนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมเท่านั้นเองครับ

ย้อนอดีตกับบทความที่เขียนช่วงสิ้นปี 2002 ในผจก.รายสัปดาห์ ว่าด้วย "ที่สุดของหนังสือทางการจัดการในปี 2002" ลองดูนะครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง




ที่สุดของหนังสือทางการจัดการในปี 2002



พอใกล้ถึงสิ้นปีก็มักจะมีการจัดลำดับสิ่งที่โดดเด่นในรอบปี เนื่องจากในบทความนี้ได้พูดถึงแนวคิดทางด้านการจัดการใหม่ๆ มาตลอด ก็เลยขออนุญาตนำเสนอรายชื่อพร้อมทั้งรายละเอียดบางส่วนของที่สุดของหนังสือทางด้านการจัดการในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งผมเองก็ต้องขออนุญาตนำมาจากรายชื่อที่ได้มีคนอื่นเขาจัดไว้อีกที เนื่องจากไม่มีปัญหาติดตามได้หมดทุกเล่ม โดยแหล่งที่ผมได้มานั้นได้มาจากวารสาร Strategy + Business ซึ่งเขามีการจัดลำดับกันเป็นประจำและเคยจัดลำดับหนังสือทางด้านจัดการแห่งสหัสวรรษไปแล้วครั้งหนึ่ง ต้องขอเรียนตามตรงว่าในรายชื่อหนังสือสุดยอดแห่งปีของวารสาร Strategy + Business นั้น บางเล่มก็ได้เคยอ่านมา บางเล่มก็ได้ผ่านตาเฉยๆ และบางเล่มก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นผมจึงขออนุญาตลงรายละเอียดในบางเล่มที่พอจะคุ้นเคยนะครับ

ในรายชื่อของ Strategy + Business นั้นเขายังแบ่งหนังสือทางด้านการจัดการออกเป็นประเภทต่างๆ ซึ่งถ้าพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างรายชื่อหนังสือแห่งสหัสวรรษ ซึ่งออกมาเมื่อสิ้นปีที่แล้วกับรายชื่อหนังสือแห่งปี 2002 ซึ่งเพิ่งออกมาจะพบว่ามีหัวข้อของหนังสือที่แตกต่างกันพอสมควร ถ้าเราจะดูหัวข้อทางด้านการจัดการที่น่าสนใจจากหัวข้อหนังสือที่ได้มีการจัดลำดับออกมา ก็แสดงว่าในช่วงรอบปีที่ผ่านมาศาสตร์ทางด้านการจัดการได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ส่วนหัวข้อของสุดยอดหนังสือทางด้านการจัดการที่เหมือนกันระหว่างรายชื่อหนังสือแห่งสหัสวรรษกับรายชื่อหนังสือแห่งปีนั้นประกอบด้วย หัวเรื่องทางด้านกลยุทธ์ ด้านการจัดการ ด้านภาวะผู้นำ ซึ่งต้องถือเป็นหัวข้อและแนวคิดหลักทางด้านการจัดการที่คิดว่าคงจะอยู่ยืนยงไปอีกนาน ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ต่อให้อีกร้อยปีข้างหน้ามีการจัดลำดับหนังสือด้านการจัดการ หัวเรื่องในด้านของกลยุทธ์ การจัดการ และภาวะผู้นำ ก็ยังคงอยู่ในรายชื่อหัวเรื่องอยู่เหมือนเดิม

สำหรับหัวเรื่องที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มมาใหม่ก็มีความน่าสนใจทีเดียว ตั้งแต่ในเรื่องของผู้นำสตรี ยุโรปใหม่ จริยธรรม และด้านเครือข่าย อย่างเช่นในเรื่องของสตรีนั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวเนื่องจากในปัจจุบันเราจะพบผู้บริหารหรือผู้นำระดับสูงขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นสุภาพสตรีมากขึ้น จนกระทั่งในแวดวงวิชาการได้เริ่มมีความตื่นตัวกันมากขึ้นถึงการศึกษาในเรื่องของผู้นำที่เป็นสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นผู้นำของสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ซึ่งก็ยังไม่มีผลงานวิจัยไหนที่แสดงว่าผู้นำเพศไหนจะมีความสามารถมากกว่ากัน แต่เริ่มเห็นพ้องต้องกันประการหนึ่งว่าผู้นำที่เป็นสตรีมักจะมีแนวโน้มของการทำผิดจริยธรรมในการบริหารหรือการคดโกงที่น้อยกว่าผู้นำที่เป็นบุรุษ ส่วนในเรื่องของยุโรปใหม่นั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่ต่างประเทศเขามีความตื่นตัวกัน เนื่องจากเขาได้รับผลกระทบโดยตรงแต่ของเราค่อนข้างห่างไกล เลยทำให้มีหนังสือด้านนี้เข้ามาขายในประเทศไทยไม่มากเท่าใด ส่วนในเรื่องของเครือข่าย (Network) นั้น ในปัจจุบันต่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับเครือข่ายมากขึ้น ทั้งเครือข่ายในระดับส่วนบุคคลและเครือข่ายระดับองค์กร จริงๆ แล้วเรื่องเครือข่ายนั้นในประเทศเอเชียเราก็ตื่นตัวกันมานานแล้ว ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือในเรื่องของ Quanxi หรือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่เจอกันเยอะมากในวัฒนธรรมที่มีคนจีนอาศัยอยู่เยอะ เรามาลองดูรายชื่อและหนังสือบางส่วนที่เขาได้มีการจัดลำดับให้เป็นสุดยอดแห่งหนังสือด้านการจัดการในปีนี้กันนะครับ

เรามาเริ่มที่หนังสือทางด้านกลยุทธ์กันก่อนนะครับ หนังสือกลยุทธ์ ซึ่งวารสาร  Strategy + Business ได้เลือกออกมาสี่เล่ม ซึ่งทั้งสี่เล่มนี้เป็นหนังสือที่นำเสนอกลยุทธ์ หลักการ แนวคิด และเครื่องมือที่ช่วยทำให้ผู้บริหารสามารถประสบความสำเร็จได้ หนังสือเล่มแรกนั้นท่านผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะรู้จักกันดีคือ Jack: Straight From the Gut ของอดีตผู้บริหารสูงสุดของจีอีคือ Jack Welch จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ได้จัดพิมพ์ในปี 2001 แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมวารสารนี้ถึงได้จัดให้เป็นสุดยอดหนังสือด้านการจัดการในปีนี้ ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ได้จัดพิมพ์ออกมาเป็นฉบับปกอ่อนและมีวางขายอยู่ในร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป คุณค่าที่สำคัญของหนังสือนี้นอกเหนือจากประวัติของตัว Jack เองหรือของจีอี แล้วคงอยู่ที่แนวคิดทางด้านกลยุทธ์ของ Jack ที่ทำให้จีอีกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก รวมทั้งแนวทางด้านกลยุทธ์และการจัดการต่างๆ ที่ผู้บริหารสามารถนำไปปรับใช้ได้ภายในองค์กร สุดยอดหนังสือด้านกลยุทธ์เล่มที่สองแห่งปีนี้ชื่อ The Art of Profitability เขียนโดย Adrian Slywotzky โดยในหนังสือเล่มนี้ผู้แต่งได้นำเสนอตัวแบบในการทำกำไร 23 แบบสำหรับบริษัทต่างๆ ซึ่งตัวแบบเหล่านี้ก็คือกลยุทธ์ในการแข่งขันขององค์กร โดยตัวแบบทั้ง 23 ประการนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับผู้บริหารในการกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขันขององค์กร สำหรับวิธีการเขียนของผู้เขียนท่านนี้ก็แปลกกว่าชาวบ้านเขา นั้นคือแทนที่จะเขียนในลักษณะเดียวกับหนังสือด้านการจัดการอื่นๆ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จะนำเสนอผ่านบทสนทนาของคนสองคนคือผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านกลยุทธ์ และจากบทสนทนาเหล่านั้นทำให้สามารถเรียนรู้ถึงวิธีการในการทำกำไรในรูปแบบต่างๆ

สุดยอดหนังสือทางด้านกลยุทธ์เล่มที่สามชื่อ Out of the Box: Strategies for Achieving Profits Today and Growth Tomorrow through Web Services เขียนโดย John Hagel III ซึ่งเป็นหนังสือที่บอกเล่าถึงกลยุทธ์แนวใหม่ที่ใช้การให้บริการบน Web ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงเทคโนโลยีสารสนเทศค่อนข้างมาก แต่ก็ยังคงเป็นหนังสือที่แสดงถึงกลยุทธ์อยู่ โดยพยายามนำเสนอถึงโอกาสทางกลยุทธ์ที่องค์กรจะได้รับจาก Web services technology สุดยอดหนังสือด้านกลยุทธ์เล่มสุดท้ายเขียนขึ้นโดย Martha Amran ชื่อ Value Sweep: Mapping Corporate Growth Opportunities ซึ่งเป็นหนังสือที่นำเสนอถึงวิธีการในการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยนำเสนอถึงวิธีการในการประเมินโอกาสในการเติบโต และเป็นหนังสือที่สามารถนำเสนอวิธีการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงๆ สำหรับการประเมินทางเลือกของกลยุทธ์ในแต่ละด้าน 

สำหรับหนังสือในกลุ่มที่สองที่เป็นทางด้านการจัดการนั้น วารสาร Strategy + Business เขาเริ่มจากหนังสือที่ได้เคยพูดถึงในคอลัมภ์แห่งนี้คือ The Heart of Change: Real-Life Stories of How People Change Their Organizations เขียนโดย John P. Kotter หนังสือเล่มนี้ถือเป็นตอนต่อของหนังสือเล่มแรกของผู้เขียนที่ชื่อ Leading Change ที่ได้ตีพิมพ์ในปี 1996 โดยหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอถึงกรณีศึกษาของผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดย Kotter ได้ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารกว่า 200 คน เพื่อให้ได้เรื่องมาเป็นกรณีศึกษาประกอบกับแนวคิดด้านผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงตามที่ Kotter ได้นำเสนอไว้ในหนังสือเล่มแรก จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ได้เข้ามาขายในเมืองไทยมานานพอสมควรแล้ว แต่รู้สึกว่าเพิ่งจะมาตื่นตัวกันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หนังสือด้านการจัดการเล่มที่สองก็เป็นหนังสือที่วางขายในเมืองไทยกันมากพอสมควร คือเรื่อง Primal Leadership: Realizing the Power of Emotional Intelligence โดย Daniel Goleman และคณะ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นเรื่องที่สามของ Daniel Goleman ที่เกี่ยวข้องกับ Emotional Intelligence ในหนังสือเล่มนี้พยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Emotional Intelligence กับภาวะผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วการที่จะเป็นผู้บริหารที่ดีขึ้นจะต้องมีระดับของ EI ที่สูงขึ้น Goleman ได้เสนอในหนังสือเล่มนี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ของผู้บริหารต่อความสามารถในการดำเนินงานขององค์กร เล่มต่อมานั้นชื่อค่อนข้างยาวคือ What Management Is: How It Works and Why It’s Everyone Business แต่งโดย Joan Magretta และ Nan Stone ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนมองว่าการจัดการคือความสามารถในการเปลี่ยนสิ่งที่สลับซับซ้อนและความเชี่ยวชาญสู่ผลการดำเนินงาน หนังสือเล่มนี้พยายามนำเสนอให้ผู้บริหารได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วกลยุทธ์และการจัดการย่อมวกกลับมาสู่รากฐาน

หนังสือในหมวดต่อไปเป็นหมวดใหม่ที่เพิ่งมีในปีนี้ ซึ่งก็ดูแล้วท่าจะเหมาะสมกับสภาวการณ์ในการทำธุรกิจในปัจจุบันที่สังคมและประชาชนได้จับตามองจริยธรรมในการธุรกิจของผู้บริหารมากขึ้น หนังสือในหมวดนี้ไม่ค่อยได้เจอในไทยนัก ไม่รู้ว่าขายดีจนไม่มีเหลือ หรือผู้นำเข้ายังไม่เห็นความสำคัญของหนังสือในหมวดนี้กันมากนักจนไม่ได้สั่งเข้ามาจำหน่าย ตัวอย่างของหนังสือในหมวดนี้เช่น Moral Hazard เขียนโดย Kate Jennings ซึ่งเป็นหนังสือในลักษณะของนวนิยาย โดยผู้เขียนได้เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะของอัตชีวประวัติของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในธนาคารแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้บริหารชายในอเมริกา และตัวเอกจะต้องเผชิญกับความขัดแย้งทั้งเรื่องของค่านิยมส่วนตัวและจริยธรรมของผู้บริหารรอบตัว หนังสือเล่มต่อมาชื่อ How Companies Lie: Why Enron Is Just the Tip of the Iceberg เขียนโดย Larry Elliott และ Richard J. Schroth เห็นชื่อก็คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องอะไรนะครับ

ในหมวดสุดท้ายคือในหมวดของภาวะผู้นำ ที่เปิดขึ้นมาด้วย Geeks and Geezers: How Era, Values, and Defining Moments Shape Leaders เขียนโดยปรมาจารย์ด้านผู้นำคือ Warren Bennis และ Robert Thomas โดยหนังสือเล่มนี้ได้นำแนวคิดของ Bennis ที่เขียนไว้ในหนังสือ On Becoming a Leader มาสานต่อ โดยมองว่าผู้นำเกิดขึ้นจากส่วนผสมระหว่างบุคลิกภาพของแต่ละตนผสมผสานกับเหตุการณ์หรือสภาวการณ์ที่บุคคลผู้นั้นเผชิญในช่วงปีแรกๆ สิ่งที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้คือผู้เขียนมองว่าแนวทางการพัฒนาบุคลากรในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกผู้บริหาร การอบรม การหมุนเวียนงาน รวมทั้งงบประมาณต่างๆ ที่ใช้จ่ายลงไปในกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าใดในการพัฒนาผู้บริหาร ในหนังสือเล่มนี้ได้เสนอว่าการที่ผู้บริหารจะพัฒนาได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการพัฒนาและปรับปรุงตนเอง ส่วนหนังสือเล่มที่สองในหมวดของภาวะผู้นำชื่อ Leadership on the Line: Staying Alive Through the Dangers of Leading  โดย Ronald A. Heifetz และ Marty Linsky โดยหนังสือเล่มนี้นำเสนอถึงวิธีการในการที่จะพัฒนาผู้บริหารให้มีความสามารถในการที่ช่วยให้ผู้อื่นสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาองค์กรต่อไป อีกเล่มถือเป็นหนังสือขายดีสุดยอดของปีนี้อีกเล่มหนึ่งคือ Good to Great: Why Some Companies Make the Leap…and Others Don’t โดย James Collins คงจะไม่ต้องอธิบายสรรพคุณของหนังสือเล่มนี้มากนักเนื่องจากเป็นหนังสือขายดีที่สุดประจำปีก็ว่าได้ และมีขายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย สุดท้ายเป็นหนังสือที่ผมค่อนข้างชื่นชอบและเคยนำเสนอเนื้อหาไปในบทความนี้หลายครั้งแล้วคือหนังสือเรื่อง Execution โดย Larry Bossidy และ Ram Charan ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติงานให้ได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน


นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสุดยอดหนังสือด้านการจัดการที่ดีที่สุดในปีนี้ สำหรับเล่มอื่นๆ ถ้ามีโอกาสผมจะมานำเสนอต่อไป หรือท่านผู้อ่านอาจจะลองไปหาจากวารสาร Strategy + Business ในอินเตอร์เน็ตดูก็ได้นะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ