เดิมทีต้องการให้ blog นี้เป็นแหล่งรวบรวมงานเขียนต่างๆ ของตัวเองที่ผ่านมา แต่แล้วเกิดอาการคันไม้ คันมือ อยากเขียนหนังสือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย ก็เลยแปลงมาเป็นแหล่งรองรับอาการคันไม้คันมือแห่งใหม่ ที่น่าจพอมีสาระทางวิชาการบ้าง
Monday, February 29, 2016
Michael E. Porter กับกลยุทธ์ ตอนที่ 1 (ข้อเขียนใหม่)
Thinkers50 ได้จัดอันดับ Management Gurus 50 อันดับแรกของโลก และในปีล่าสุดคือ 2015 Michael E. Porter จาก Harvard Business School ก็ได้กลับมาครองอันดับ 1 ของกูรูทางด้านการจัดการของโลกอีกครั้ง เลยอยากจะขอเขียนเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางด้านแนวคิดของ Porter กันซักหน่อย
คนที่ศึกษามาทางด้านบริหารธุรกิจ ไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ย่อมจะรู้จักแนวคิดที่สำคัญทางด้านกลยุทธ์ อย่างเช่น 5 - Forces, Value Chain, Diamond Model, Differentiation Strategy, Cost Leadership Strategy แล้วท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าแนวคิดเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มาจาก Porter ทั้งสิ้น
Porter มีพื้นฐานการศึกษาเริ่มต้นจากด้านวิศวกรรม ต่อด้วย MBA และสุดท้ายจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ธุรกิจหรือ Business Economics
Porter เขียนบทความมากมาย แต่ถ้าเป็นหนังสือ ที่ถือเป็นตำราที่ต้องอ่านของผู้ศึกษาทางด้านกลยุทธ์นั้นจะมีอยู่สามเล่ม ได้แก่
๑. Competitive Strategy ออกจำหน่ายในปี 1980
๒. Competitive Advantage ออกจำหน่ายในปี 1985
๓. The Competitive Advantage of Nations ออกจำหน่ายในปี 1990
หนังสือทั้งสามเล่ม คือจุดกำเนิดและพื้นฐานของแนวคิดดังๆ ของ Porter ทั้ง 5-Forces, Value Chain, Diamond Model, Generic Strategies (Differentiation / Cost Leadership)
โดยหลักคิดของ Porter ในช่วงเวลาดังกล่าวเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันนั้นชัดเจนมาก นั้นคือ
- องค์กรธุรกิจจะประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่งขันได้จะต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจ และ มีตำแหน่งทางกลยุทธ์ (Strategic Positioning) ที่เหมาะสม
- จะทราบว่าอุตสาหกรรมใดน่าสนใจ ก็สามารถวิเคราะห์ได้ด้วย 5 Forces Analysis
- จะทราบว่ามีตำแหน่งทางกลยุทธ์ที่เหมาะสมนั้นก็สามารถใช้ Value Chain เป็นเครื่องมือในการวิเคราะ์ เนื่องจาก Value Chain จะอธิบายถึงกระบวนการหรือกิจกรรมที่องค์กรต้องทำเพื่อก่อให้เกิดคุณค่าที่ต้องการ และ การนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้านั้นคือการกำหนดตำแหน่งทางกลยุทธ์
- คุณค่าที่ให้กับลูกค้านั้น หนีไม่พ้นการนำเสนอสินค้าบริการที่เหมือนกับผู้อื่น ไม่มีความแตกต่าง แต่อาศัยต้นทุนที่ต่ำที่สุด (Cost Leadership) หรือ การสร้างความแตกต่างที่ลูกค้ามองเห็นและสามารถเรียกราคาได้สูงกว่า (Differentiation)
หลักการข้างต้นคือหลักการในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของระดับบริษัท ส่วนการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระดับประเทศนั้น ก็สามารถใช้ Diamond Model มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ได้
ขอจบภาคแรกก่อนนะครับ ตอนต่อไป จะมาดูว่าหลังจาก Porter สร้างเครื่องมือต่างๆ เพื่อรองรับแนวคิดในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันแล้ว Porter ได้พัฒนาแนวคิดอันใดต่อ
Sunday, February 28, 2016
Gurus ทางด้านการจัดการชั้นนำของโลก ในปี 2015 (เขียนใหม่)
คำถามหนึ่งที่ได้รับเป็นประจำคือ ใครคือกูรู (Gurus) ที่ไม่ใช่กูรู้ ทางด้านการจัดการที่สำคัญของโลก
ก็มีหลายๆ หน่วยงาน หลายๆ สื่อพยายามที่จะจัดอันดับไว้นะครับ แต่หนึ่งแหล่งที่เชื่อถือและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปคือ Thinkers50 ที่เขาจัดกันมาตั้งแต่ปี 2001
ล่าสุดคือปี 2015 เขาก็เพิ่งประกาศ รายชื่อ Gurus ชั้นนำทางด้านการจัดการมา 50 คนครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://thinkers50.com/t50-ranking/2015-2/
แต่ที่น่าสนใจคือสามอันดับแรกล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือกูรูสำคัญทางด้านกลยุทธ์ทั้งสิ้น ได้แก่
1. Michael E. Porter จาก Harvard Business School ซึ่งถือเป็นกูรูต้นตำรับทางด้านกลยุทธ์มานานเป็นสิบๆ ปี ครั้งที่แล้วตกไปอยู่อันดับ 7 ปีนี้กลับมาอยู่อันดับ 1
2. Clayton Christensen จาก HBS เช่นเดียวกัน ครั้งที่แล้วเป็นอันดับ 1 และโด่งดังมาจากเรื่องของ Disruptive Innovation มาครั้งนี้ตกมาอยู่อันดับสอง
3. W. Chan Kim และ Renee Mauborgne จาก INSEAD ในประเทศฝรั่งเศส เจ้าตำรับ Blue Ocean Strategy ที่เห่อกันมาอยู่พักนึง
อย่ากลัวที่จะเป็นผู้อาวุโส (บทความจากกรุงเทพธุรกิจ ปี 2015)
อย่ากลัวที่จะเป็นผู้อาวุโส
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ช่วงหลังผมได้เข้าไปอยู่ในวงสนทนาที่เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสมากขึ้น ทั้งในฐานะที่จะเป็นผู้อาวุโสในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า หรือ การได้พูดถึง ยกย่อง ชมเชย ผู้อาวุโสที่หลายที่ยังกระตือรือร้นในการทำงานในปัจจุบัน เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่าในทางจิตวิทยาแล้ว การที่เราเจริญวัยขึ้นแล้วก้าวเข้าสู่ความอาวุโสนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้ค้นไปค้นมาได้พบเจองานเขียนและงานวิจัยหลายอย่างที่เขียนถึงจิตวิทยาของการก้าวสู่ความอาวุโส (ขอไม่ใช้คำว่า “แก่” นะครับ)
ความจริงอย่างหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นคือการเจริญวัยจากวัยเด็ก สู่วัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคน และ วัยชรา (หรือวัยอาวุโส) หลายท่านจะรังเกียจคำว่า ชรา แก่ หรือ อาวุโส เพราะรู้สึกว่ามันบาดใจและไม่เหมาะกับตนเอง ซึ่งในปัจจุบันเราจะพบผู้ที่มีวัย 60 หรือ 65 ปีขึ้นไปที่ยังกระฉับกระเฉง ยังโลดแล่นอยู่ในสาขาวิชาชีพต่างๆ รวมทั้งยังใช้ชีวิตชนิดที่วัยรุ่นยังอายอยู่เป็นจำนวนมาก สาเหตุสำคัญก็คือทัศนคติและร่างกายของเราเป็นสำคัญครับ มีงานวิจัยที่พบว่าคนหนุ่มสาวที่ป่วยเป็นประจำก็มักจะรู้สึกว่าตนเองแก่ แต่ขณะเดียวกันผู้อาวุโสที่สุขภาพดีทั้งสุขภาพกายและใจก็ยังรู้สึกว่าตนเองเป็นหนุ่มสาวอยู่
จริงๆ แล้วการที่เราเจริญวัยและเป็นผู้อาวุโสมากขึ้นนั้น ถ้ามองในเชิงบวกจะพบว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะนอกจากตัวเลขของอายุเราที่มากขึ้นแล้ว ประสบการณ์ เหตุการณ์ และ ความฉลาดในด้านต่างๆ ของเราก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้การตัดสินใจในด้านต่างๆ เป็นไปอย่างรอบคอบ ถี่ถ้วนมากกว่าสมัยช่วงวัยรุ่น นอกจากนี้ยังวิจัยยังพบว่าบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายจะมีสมาธิและความสามารถในการ Focus หรือให้ความสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีกว่าสมัยวัยหนุ่มสาว
งานวิจัยอีกชิ้นจากนักจิตวิทยาพบว่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น จะมีความพอใจในชีวิตของตนเอง ในสิ่งที่ตนเองได้ทำมา อีกทั้งมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมทั้งมีความเข้าใจในตนเองและขีดจำกัดในด้านต่างๆ ของตัวเองมากขึ้น ในอดีตเมื่อเรานึกถึงบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายเรามักจะคิดว่าท่านเหล่านั้นเข้าสู่ช่วงวัยอาวุโสด้วยความเศร้าสร้อย หดหู่ แต่จากงานวิจัยพบว่าอาการ Depression หรือหดหู่ เศร้าสร้อยนั้น จะค่อยๆ ลดลงตั้งแต่อายุ 45 เป็นต้นไปทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง (ยกเว้นผู้ชายในช่วงหลังเกษียณใหม่ๆ ที่อาจจะกลับมานิดนึง) แถมยังมีงานวิจัยอีกชิ้นที่สนับสนุนว่ายิ่งอาวุโสมากขึ้น การมองโลกในแง่ร้ายจะลดน้อยลง ชีวิตจะมีความสุข และ เรียบง่ายมากขึ้น
ความสนใจของคนเราเมื่อก้าวสู่วัยอาวุโสก็จะเปลี่ยนไปจากในอดีตที่สนใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตนเอง ก็จะหันมาสนใจเกี่ยวกับจิตใจของตนเองเพิ่มขึ้น รวมทั้งต้องการที่จะเข้าไปช่วยหรือมีส่วนร่วมกับสังคมและคนรอบข้างมากขึ้น อย่างไรก็ดีใช่ว่าการที่เราเจริญวัยขึ้นแล้วจะมีแต่ข้อดีนะครับ ข้อเสียก็มีเหมือนกัน
เริ่มจากพลังงานในการทำสิ่งต่างๆ จะถดถอยลงจากในอดีต หรือ การใช้สมองในการคิดเลขต่างๆ อย่างรวดเร็วก็จะทำได้ช้าลง รวมทั้งความทรงจำที่เริ่มจะไม่แม่นเหมือนในอดีต (แต่ในอีกมุมหนึ่งปัจจุบันก็มีเครื่องมือที่ช่วยให้เราจดจำได้มากขึ้น แทนที่จะต้องใช้แต่สมองของเรา)
สิ่งที่จะช่วยในการเตรียมตัวทุกๆ ท่านในการเข้าสู่วัยอาวุโสอย่างมั่นคงและมีความสุข คือการวางแผนสำหรับเมื่อวัยนั้นมาถึงครับ การวางแผนในส่วนนี้ไม่ใช่เพียงแค่การวางแผนทางการเงินเท่านั้น แต่เป็นการวางแผนชีวิตในสิ่งที่จะทำ สิ่งที่จะสนใจหลังเข้าสู่วัยอาวุโส เพราะอย่าลืมนะครับว่าท่านจะต้องวางแผนทั้งทางด้านการเงินและการใช้ชีวิตหลังจากที่ท่านเกษียณไปอย่างน้อยสิบถึงยี่สิบปีนะครับ ซึ่งช่วงเวลาสิบถึงยี่สิบปีหลังเกษียณกับการอยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์นะครับ
กลุ่มผู้อาวุโสที่มีความสุขน้อยกว่ากลุ่มอื่นคือบรรดาท่านที่เมื่อเกษียณแล้วหายตัวไปจากสังคม จากเพื่อนฝูง และใช้เวลากับตนเองมากเกินไป การเพียงแค่มีครอบครัวและเพื่อนนั้นไม่เพียงพอนะครับ แต่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องและมีส่วนร่วมกับบุคคลรอบตัว และ สังคม ซึ่งการเข้าไปมีส่วนร่วม (ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว) จะเป็นปัจจัยสำคัญทีเดียวครับต่อความสุขของผู้อาวุโส
ดังนั้นท่านผู้อ่านทุกท่านอย่าลืมวางแผนไว้นะครับว่าเมื่อวันนั้นของท่านมาถึง เมื่อท่านก้าวสู่ความเป็นผู้อาวุโสแล้ว ท่านจะใช้ชีวิตอย่างไร มีคำกล่าวของผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้ไว้เลยครับว่า “เราจะเป็นอย่างไรเมื่อตอนเราอายุมาก ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเป็นเมื่อเรายังไม่แก่” และอย่ากลัวที่จะก้าวเข้าสู่วัยนั้นครับ ดูจากข้อมูลต่างๆ แล้วกลับเป็นสิ่งที่น่าถวิลหาเสียอีกครับ
ประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลง (บทความแรกที่เขียนให้กับกรุงเทพธุรกิจในปี 2002)
ประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลง
ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
อาจารย์ประจำภาควิชาพาณิชยศาสตร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ยุคนี้ถือเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงในเกือบทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นในภาคราชการ เอกชน หรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วๆ ไป ดูเหมือนว่าปัจจุบันเราจะหนีการเปลี่ยนแปลงไม่พ้น แล้วการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะที่รวดเร็วและรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ผู้ที่จะเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนจะต้องมีทักษะและความสามารถในการชี้นำและการบริหารการเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้บริหารท่านใดที่ไม่สามารถชี้นำและบริหารการเปลี่ยนแปลงได้คงจะต้องยอมรับสภาพและพร้อมที่จะล้าหลังผู้อื่น
ในอดีตเราอาจจะมองว่าองค์กรเป็นเหมือนเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่แล่นกลางมหาสมุทรที่สงบและเงียบ นานๆ ที่ถึงจะเจอพายุซักที ตอนที่มีพายุเรืออาจจะจอดเพื่อรอให้พายุสงบ และเมื่อพายุสงบแล้ว เรือโดยสารก็แล่นต่อไปในทิศทางเดิม นี้คือลักษณะขององค์กรต่างๆ ในอดีต ที่เรามักจะมองว่านานๆ ที่ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที และเมื่อการเปลี่ยนแปลงได้ผ่านพ้นไปแล้วองค์กรก็สามารถที่จะทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม แต่ในโลกปัจจุบันองค์กรเปรียบเสมือนแพยางที่ล่องอยู่ในแก่งที่น้ำเชี่ยวตลอดเวลา แพยางจะถูกกระแสน้ำพัดไปพัดมาตลอดเวลาไม่มีโอกาสได้สงบนิ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในแพยางจะต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา
ถ้าเปรียบเสมือนประเทศไทยเป็นองค์กรๆ หนึ่ง ท่านผู้อ่านจะพบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงทั้งจากสาเหตุภายในและภายนอกองค์กร ปัจจัยภายนอกนั้นเกิดขึ้นจากทั้งการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ พัฒนาการของเทคโนโลยีใหม่ๆ การเกิดขึ้นของกลุ่มการค้าต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเข้ามาของประเทศคู่แข่งทางการค้าต่างๆ ส่วนปัจจัยภายในที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็คงจะหนีไม่พ้นตัวผู้บริหารประเทศที่เปลี่ยนไป หรือภาวะเศรษฐกิจในประเทศ หรือแม้กระทั่งความต้องการของประชาชนภายในประเทศที่เริ่มเปลี่ยนไป
ผู้นำประเทศก็เปรียบเสมือนผู้นำองค์กรหนึ่งที่จะต้องรู้จักชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ รวมทั้งสามารถที่จะบริหารการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี บทความนี้ไม่เขียนขึ้นมาเพื่อยกยอรัฐบาลชุดนี้แต่อยากจะให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่าแนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่รัฐบาลชุดนี้นำมาใช้ในการบริหารประเทศเปรียบเสมือนการยกตำราด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงมาประยุกต์ใช้ และคงถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ศึกษาในเรื่องของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ส่วนการเปลี่ยนแปลงนั้นจะสัมฤทธิ์ผลเพียงใดคงจะต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
การจะบริหารการเปลี่ยนแปลงให้ประสบผลสำเร็จจะต้องเริ่มจากการทำให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างวิกฤตการณ์ให้ทุกคนได้เห็นเลยว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดผลเสียอย่างไรขึ้น บางครั้งผู้บริหารเองก็เป็นผู้สร้างวิกฤตการณ์ขึ้นภายในองค์กรเอง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เมื่อสร้างสถานการณ์และบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวผู้บริหารระดับสูงเองจะต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจน โดยอาจจะทำตัวเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง (Change Sponsor) อยู่ห่างๆ หรือทำตัวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) เสียเอง
อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นเมื่อผู้บริหาต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร คือการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสาเหตุสำคัญของการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นจากเหตุผลสำคัญๆ ได้แก่
- ความกังวลต่อความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากไม่รู้ว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วจะส่งผลต่อตนเองหรือองค์กรอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน
- ความกังวลต่อการสูญเสียในสิ่งต่างๆ ที่เคยไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ที่เคยมี บริวารที่เคยห้อมล้อม รายได้ที่ได้ หรือสถานะต่างๆ ที่เคยมีอยู่ โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะไม่พูดออกมาถึงสาเหตุของการต่อต้านในลักษณะนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจคนส่วนใหญ่เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง
- สุดท้ายก็เกิดขึ้นเนื่องจากการที่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อองค์กร ข้อนี้มักจะเป็นข้ออ้างที่ได้ยินกันบ่อยๆ โดยยกประโยชน์ส่วนรวมขึ้นมาอ้าง ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียต่อองค์กรโดยรวม
ผู้บริหารที่จะบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ดีจะต้องมีความสามารถในการลดหรือการขจัดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยอาจจะ
- ให้ความรู้และการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงสาเหตุ ผลและประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างถ้าการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจถึงสาเหตุหรือความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง ท่านผู้อ่านคงเคยเห็นนะครับที่ผู้นำต่างๆ ไม่ว่าผู้นำขององค์กรหรือของประเทศที่พยายามสื่อสารและทำความเข้าใจกับคนในองค์กรถึงสาหตุและความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
- การดึงให้ผู้ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเข้ามาเป็นพวก วิธีนี้ใช้และเห็นกันบ่อยๆ ในองค์กรทั่วๆ ไป พอถึงพวกที่ต่อต้านเข้าเป็นพวกแล้ว บุคคลเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นพวกแทนที่จะต่อต้าน
- วิธีสุดท้ายเมื่อสื่อสารไม่ได้ผล และไม่สามารถดึงเข้ามาเป็นพวกแล้ว ก็ต้องทำการต่อรองกับพวกที่ต่อต้าน โดยอาจจะเป็นการต่อรองในเรื่องของผลประโยชน์หรือเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนในสิ่งใดเพื่อให้พวกต่อต้านเลิกต่อต้าน วิธีนี้เราจะพบได้บ่อยเมื่อรัฐบาลไม่สามารถลดการต่อต้านด้วยวิธีอื่นๆ ได้
ท่านผู้อ่านลองดูซิครับว่าเมื่อรัฐบาลคิดจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยแล้ว รัฐบาลได้พยายามที่จะใช้หลักการในการบริหารการเปลี่ยนแปลงข้างต้น ซึ่งถือว่าการนำหลักการมาใช้เป็นสิ่งที่ดี ส่วนการจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือที่เรียกกันว่า Execution
กินเพื่อผลงาน (บทความจากกรุงเทพธุรกิจในปี 2014)
กินเพื่อผลงาน
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การรับประทานหรือการกิน เป็นสิ่งที่คู่กับมนุษย์มานาน โดยเฉพาะหลายๆ ท่านที่เราจะใช้การรับประทานเป็นข้ออ้างหรือทางออกสำหรับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่า เจอเพื่อนเก่าก็กิน เหนื่อยก็กิน เครียดก็กิน ดีใจก็กิน เสียใจก็กิน คิดไม่ออกก็กิน ผอมก็กิน อ้วนก็กิน ฯลฯ คราวนี้เรามาลองดูข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเติมครับว่า นอกจากกินเนื่องในโอกาสต่างๆ นั้น ถ้าเราอยากจะทำงานเก่ง ทำงานดี และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดี ก็ต้องเลือกกินให้เหมาะสมด้วย
น่าสนใจว่าเมื่อเรานึกถึงหนทางในการเพิ่มผลิตภาพหรือความสามารถในการทำงานนั้น เรามักจะไม่ค่อยคิดถึงอาหารเท่าไร เมื่อเรานึกถึงอาหารกับการทำงานนั้น เราจะนึกถึงอาหารในด้านของแหล่งที่ให้พลังงาน ให้เรามีพลังงานในการทำงานเท่านั้น หรือ บางท่านเมื่อทำงานหนักหรือเครียดมากๆ ก็ไม่สนใจอาหารด้วยซ้ำไปครับ คือขอให้มีอะไรตกถึงท้อง เพื่อให้อยู่รอดก็พอแล้ว
มีบทความหนึ่งที่เขียนโดย Ron Friedman เกี่ยวกับการรับประทานและผลิตภาพในการทำงานที่น่าสนใจครับ โดยเขาระบุเลยว่าอาหารนั้นมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการรับรู้ การตัดสินใจ และการคิดของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกรับประทานอาหารเช้ากับอาหารเที่ยงที่ดีนั้นจะส่งผลต่อความสามารถในการคิดและการทำงานของเราตลอดทั้งวัน
หลักการพื้นฐานที่สำคัญคืออาหารเกือบทุกชนิดที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกแปลงเป็นกลูโคส ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่ทำให้สมองเกิดความตื่นตัว ท่านผู้อ่านสังเกตุดูครับว่า เมื่อใดก็ตามที่น้ำตาลเราต่ำ หรือ ขาดอาหาร เรามักจะมีปัญหาในด้านสมาธิในการทำงาน ซึ่งทุกท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าถ้าท้องว่างเมื่อไร สมาธิเราก็จะหลุดเมื่อนั้น
อย่างไรก็ตามใช่ว่าอาหารทุกอย่างจะส่งผลต่อสมองหรือความสามารถในการทำงานของเราเหมือนกัน อาหารบางชนิดเช่น พวกแป้ง น้ำอัดลม ข้าว ขนมปัง จะถูกย่อยสลายเป็นกลูโคสได้เร็ว ทำให้เรามีพลังงานสูงเป็นระยะๆ แต่เมื่อกลูโคสหมดไปพลังงานนั้นก็จะหมดไปด้วย ส่วนอาหารที่ให้ไขมันเยอะ เช่น พวกแฮมเบอร์เกอร์ เนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะให้พลังงานที่นานกว่า แต่ก็ทำให้ระบบย่อยของเราต้องทำงานหนักขึ้น เป็นการดึงออกซิเจ้นท์จากสมองเราและอาจจะทำให้เราง่วงนอนได้ ดังนั้นท่านผู้อ่านจะต้องเลือกนะครับว่าจะรับประทานอาหารประเภทใด เป็นแบบให้พลังงานเร็ว แต่ก็หมดเร็ว หรือ ให้พลังงานที่ยั่งยืน แต่ย่อยยาก และ ง่วง
สิ่งที่สำคัญคือต้องอย่าตัดสินใจในสิ่งที่จะรับประทานในขณะที่กำลังหิว เชื่อว่าหลายท่านมีประสบการณ์สั่งอาหารในขณะกำลังหิวแล้วเราจะน่ามืดตามัว สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ และอุดมไปด้วยอาหารที่ไม่มีประโยชน์กับร่างกาย ดังนั้นถ้าจะรับประทานในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์จะต้องตัดสินใจเลือกอาหารไว้ล่วงหน้าครับ อย่ารอหิว ทั้งนี้เนื่องจากมีการศึกษาและพบว่า ถ้าเราสั่งหรือตัดสินใจเกี่ยวกับอาหารไว้ล่วงหน้า เราจะสามารถต่อต้านกับความเย้ายวนของอาหารที่ไม่มีประโยชน์ทั้งหลาย เช่น เกลือ ไขมัน น้ำตาล ได้ดีกว่าสั่งอาหารในขณะกำลังหิว
อีกข้อคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือเราต้องอย่าปล่อยในขาดกลูโคสตอนใกล้ๆ เที่ยงแล้วเติมมันตอนอาหารเที่ยงครับ การลดลงและเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำตาลอยู่เป็นระยะๆ จะส่งผลต่อทั้งความสามารถในการทำงานของสมองเรา ดังนั้นเราควรจะรับประทานบ่อยๆ แต่รับประทานแต่น้อย เพื่อให้ปริมาณกลูโคสในร่างกายเราอยู่ในระดับที่เหมาะสมทั้งวัน แทนที่จะหวังพึ่งมื้อเที่ยงแต่เพียงอย่างเดียว
มีผลจากงานวิจัยอีกที่แสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักและผลไม้ตลอดทั้งวันไม่ได้ดีต่อร่างกายเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมองอีกด้วย งานวิจัยชิ้นดังกล่าวสรุปว่ายิ่งเรารับประทานผักและผลไม้มากขึ้นเท่าไร จะยิ่งทำให้เรามีความสุข ความรู้สึกดีๆ กับ ความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากผักและผลไม้มีสารอาหารที่ก่อให้เกิดการผลิต Dopamine ที่เป็นสารสื่อนำประสาทชนิดหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญต่อความสนใจ การจูงใจ และ ความผูกพัน นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีสารที่ทำให้เราสามารถเพิ่มความทรงจำและทำให้อารมณ์ดีด้วย
นอกจากงานวิจัยของความสำคัญของอาหารต่อการทำงานของเราแล้ว ผมยังพบงานวิจัยอีกชิ้นว่าเราควรรับประทานอาหารในขณะที่เจรจาธุรกิจหรือไม่? งานวิจัยชิ้นดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการเจรจาทางธุรกิจพร้อมๆ กับการรับประทานอาหารกับคู่ค้าหรือเพื่อนร่วมงานนั้นจะทำให้เกิดผลกำไรมากกว่าการเจรจาในขณะที่ไม่ได้รับประทานอาหาร
สรุปคือถ้าเราเลือกกินได้ถูกต้องและเหมาะสมนั้น นอกเหนือจากจะช่วยให้เรามีการตัดสินใจและผลการทำงานที่ดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อการเจรจาทางธุรกิจที่ราบรื่นและก่อให้เกิดผลกำไรที่ดีขึ้นด้วยครับ ดังนั้น เราต้องเลือกรับประทานให้ถูกนะครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)