Thursday, February 27, 2014

"Management Gurus in 2011" อีกบทความที่เขียนเกี่ยวกับกูรูทางด้านการจัดการ แต่เขียนในปี 2011

สุดยอดนักคิดทางด้านการจัดการประจำปี



พอใกล้สิ้นปีก็เริ่มมีการจัดอันดับสิ่งต่างๆ ของปีที่ผ่านมากันพอสมควร และสิ่งหนึ่งที่คนที่สนใจทางด้านการบริหารจัดการอยากจะทราบก็คือใครคือสุดยอดกูรูหรือผู้รู้หรือนักคิดทางด้านการบริหารจัดการในปีนั้นๆ โดยแหล่งหนึ่งที่มักจะได้รับการอ้างถึงเป็นประจำก็คือ The Thinkers 50 ซึ่งจะมีการจัดอันดับสุดยอดนักคิดทางด้านการจัดการห้าสิบอันดับของโลกทุกๆ สองปี ล่าสุดของปี 2011 ก็เพิ่งประกาศกันมาเมื่อไม่นานมานี้ครับ ลองมาดูกันนะครับว่ามีใครบ้าง และที่สำคัญจากรายชื่อเหล่านี้ พอจะทำให้เรามองเห็นถึงแนวโน้มทางด้านการบริหารจัดการที่น่าสนใจที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย

อันดับแรกคือ Clayton Christensen ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่ Harvard Business School และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรมและการเติบโตครับ จริงๆแล้ว Clayton โด่งดังมาหลายปีแล้วครับจากหนังสือ The Innovator’s Dilemma ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1997 และเขาเป็นคนให้กำเนิดคำว่า Disruptive Innovation ที่หลายท่านคุ้นกันดี ล่าสุดเขาก็เพิ่งออกหนังสือเล่มล่าสุดชื่อ The Innovators’ DNA ที่กล่าวถึงคุณลักษณะที่สำคัญของคนที่จะเป็นนวัตกร

อันดับสองมากันเป็นคู่ครับ นั้นคือ W. Chan Kim และ Renee Mauborgne จาก INSEAD โดยทั้งคู่คือผู้ให้กำเนิดแนวคิดเรื่องของ Blue Ocean ที่โด่งดังไปทั่วครับ 

อันดับสามคือ Vijay Govindarajan ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่ Tuck School of Business และเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของกลยุทธ์และนวัตกรรม ท่านผู้อ่านอาจจะไม่คุ้นชื่อของ VG (ชื่อย่อ) นะครับ แต่ท่านผู้นี้เขียนหนังสือเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมออกมาหลายเล่ม ที่สำคัญคือเขียนบทความร่วมกับ Jeff Immelt ที่แนะนำแนวคิดในเรื่องของ Reverse Innovation ออกมาครับ

อันดับสี่คือ Jim Collins ซึ่งไม่ได้ประจำอยู่มหาวิทยาลัยใด แต่เขียนหนังสือก้องโลกหลายเล่ม ตั้งแต่ Built to Last, Good to Great และล่าสุดคือ Great by Choice ที่กำลังเป็นหนังสือขายดีอยู่ในปัจจุบัน หนังสือของ Collins นั้นมักจะผ่านการวิจัยและเก็บข้อมูลมาอย่างลึกซึ้งไม่ผิดกับงานวิจัยชั้นดี และมักจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จกับไม่สำเร็จ สุดท้ายก็เป็นหนังสือในดวงใจของหลายๆ คน

อันดับห้าคือ Michael E. Porter ประจำ Harvard Business School และถือเป็นนักคิดทางด้านกลยุทธ์ที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้ คงไม่ต้องเล่านะครับว่า Porter คิดอะไรออกมาบ้าง แนวคิดของ Porter นั้นได้เป็นหลักการพื้นฐานในตำราทางด้านกลยุทธ์ทุกเล่ม และล่าสุด Porter ก็จะมาเล่นในด้านของสังคมมากขึ้นครับ โดยบทความล่าสุดของเขาเขียนเรื่องการที่ธุรกิจจะสร้าง Shared Value ขึ้นมา โดยทั้งธุรกิจและสังคมต่างได้ประโยชน์

อันดับหกคือ Roger Martin ซึ่งเป็นคณบดีอยู่ที่ Rotman, University of Toronto โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คณบดีท่านนี้เขียนหนังสือขายดีออกมาหลายเล่ม โดยส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของการคิดในรูปแบบของ Design Thinking และวิธีการคิดในรูปแบบใหม่ๆ
ก็ขอนำเสนอไว้หกอันดับนะครับ เพราะอยากจะชี้ประเด็นให้เห็นว่า

จากหกอันดับแรกนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าทุกคน (อย่างน้อยห้าในหก) เป็นนักคิดทางด้านที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและกลยุทธ์ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญในรอบปีที่วงการทางด้านการบริหารนั้น จะหันมาสนใจต่อแนวทางและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการคิดเรื่องของกลยุทธ์และการเติบโตขององค์กร ศัพท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Disruptive Innovation, Blue Ocean Strategy, Reverse Innovation, Design Thinking ล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมจากการผลงานของบรรดากูรูเหล่านี้ และเชื่อว่าในปี 2012 แนวคิดในเรื่องของนวัตกรรมกับกลยุทธ์ ก็จะยังเป็นแนวโน้มที่สำคัญอีกต่อไปครับ



ท่านผู้อ่านที่อยากจะทราบว่าอีก 44 กูรูที่เหลือมีใครบ้างก็ลองเข้าไปอ่านดูในเว็บ thinkers50.com ดูนะครับ
 

"Management Gurus in 2002" เป็นบทความที่เขียนเมื่อปี 2002 เขียนถึง Guru ทางด้านการจัดการต่างๆ


ใครคือผู้รู้ (Guru) ทางด้านการจัดการ?


ในบทความนี้ได้มีการนำเสนอถึงหลักการและแนวคิดทางการบริหารใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมและใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหลักการและแนวคิดการบริหารเหล่านี้ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากกลางอากาศ แต่เกิดขึ้นจากนักคิด นักวิชาการ และผู้ที่มีความรอบรู้ทางด้านวิชาการต่างๆ ซึ่งได้มีการขนานนามบุคคลเหล่านี้ว่าเป็น “กูรู” ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษว่า ‘Guru’ หรือผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และได้มีการล้อเลียนกันเป็นภาษาไทยว่า “กูรู้” ถ้าท่านผู้อ่านได้มีโอกาสเดินเข้าร้านหนังสือที่ขายหนังสือต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นที่ศูนย์หนังสือจุฬาหรือเอเซียบุคส์ ท่านผู้อ่านจะพบว่ามีหนังสือเกี่ยวกับหลักการและแนวคิดทางด้านการจัดการสมัยใหม่ออกมามากมาย แทบจะเรียกได้ว่าออกมาใหม่เป็นรายเดือนกันทีเดียว แถมถ้าท่านผู้อ่านดูละเอียดจะพบว่าแนวคิดทางด้านการจัดการใหม่ๆ เหล่านี้ก็ไม่ต่างจากของเดิมที่มีอยู่แล้วเพียงแต่ใส่ชื่อใหม่ หรือมองจากอีกด้านหนึ่งเท่านั้น สาเหตุหนึ่งที่แนวคิดทางด้านการจัดการใหม่ๆ ออกมาเยอะมากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากนักวิชาการและที่ปรึกษาทางด้านการจัดการต่างพยายามยกระดับฐานะของตนเองให้เป็น Guru ในศาสตร์หรือสาขาที่ตนเองเชี่ยวชาญ ดังนั้น

ในสัปดาห์นี้เรามาลองทำความรู้จักกับ Guru ทางด้านการจัดการที่ดังๆ ของโลกกัน พร้อมกันนี้ผมจะนำท่านผู้อ่านไปพบกับวงการธุรกิจ Guru กัน ท่านผู้อ่านจะได้ทราบว่าทำไมนักวิชาการ หรือที่ปรึกษาทางด้านการจัดการ จึงต่างพยายามที่จะเป็น Guru กันเหลือเกิน จนกระทั่งในปัจจุบันผมมีความรู้สึกว่าในโลกของการจัดการนั้นมี Guru มากกว่าแนวคิดทางด้านการจัดการเสียอีก นอกจากนี้หลายสิ่งหลายอย่างที่ Guru เหล่านี้นำเสนอในทางทฤษฎีแล้วดูมีความน่าสนใจมากแต่กลับไม่สามารถนำไปใช้ได้ในทางปฏิบัติ

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาวงการ Guru ได้มีการเติบโตและขยายตัวอย่างมาก ในอดีตเราสามารถที่จะนับผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระดับโลกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่ในปัจจุบันต่อให้รวมมือและเท้าเข้าด้วยกันก็ไม่สามารถนับได้หมด จนหนังสือพิมพ์ Financial Times ของอังกฤษได้มีการจัดลำดับ Guru Rankings ด้านการจัดการได้ 50 คน หรือนิตยสาร Business 2.0 ต้องมีการจัดทำ Guru Guide ขึ้นมา ถึงแม้จำนวน Guru จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ความต้องการใน Guru เหล่านี้ก็ยังคงสูงอยู่ บริษัทในอเมริกาบางแห่งจ่ายเงินถึงวันละ $50,000 สหรัฐ หรือเป็นเงินไทยประมาณ 2,200,000 บาทสำหรับให้Guru เหล่านี้มาพูดให้ฟังเพียงแค่ 1 วัน นอกจากนี้สำนักพิมพ์ชื่อดังต่างก็พยายามที่จะแย่งชิงลิขสิทธิ์หนังสือเล่มใหม่จาก Guru เหล่านี้ รวมทั้งบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังต่างๆ ก็ได้นำเอาแนวคิดของ Guru เหล่านี้มาจัดระเบียบเสียใหม่แล้วนำไปขายในลักษณะของการให้คำปรึกษาแก่บริษัทต่างๆ 

ก่อนที่วงการ Guru ด้านการจัดการจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง สุดยอด Guru ที่มีมานานแล้วและยังคงถือเป็นสุดยอดอยู่ในปัจจุบันได้แก่ Peter Drucker ซึ่งในปัจจุบันมีอายุกว่า 91 ปีแล้ว Drucker ถือเป็นผู้บุกเบิกยุคแรกของแนวคิดทางด้านการจัดการใหม่ๆ แถมยังเป็นผู้บัญญัติศัพท์ต่างๆ ที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน ตั้งแต่ 30 - 40 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น Management By Objectives, Knowledge Worker, หรือ Privatization ในปัจจุบันถึงแม้ Drucker จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังคงให้คำปรึกษาและบรรยายให้กับองค์กรธุรกิจต่างๆ อยู่ โดยบรรยายประมาณ 40 ครั้งต่อปี (ผ่านดาวเทียมหรือโดยวิดิโอเทปจากบ้านของเขา) และให้คำปรึกษาแก่บริษัทต่างๆ ประมาณ 30 – 40 วันต่อปี โดย Drucker ให้เหตุผลของการยังคงให้คำปรึกษาทั้งๆ ที่อายุมากแล้วว่า “การให้คำปรึกษาเปรียบเสมือนเป็นห้องทดลองของเขา” 

Drucker เองมองว่าเขามีหน้าที่หลักในการถามคำถามแก่บริษัทที่มาขอรับคำปรึกษา และจะไม่ให้คำปรึกษาต่อบริษัทที่ไม่สามารถนำคำแนะนำของเขาจากการให้คำปรึกษาในครั้งก่อนไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างที่เป็นที่เล่าขานกันของลักษณะการให้คำปรึกษาของ Drucker คือเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้วที่ ผู้บริหารสูงสุดที่หนุ่มแน่นของ GE (เมื่อ 20 ปีที่แล้วนะครับ) คือ Jack Welch ได้มาขอคำปรึกษาจาก Drucker โดย Drucker ได้ให้ Welch ลองสมมติตัวเองเป็นบุคคลภายนอกบริษัทแล้วถามตัวเองว่าจะซื้อบริษัทใดของจีอีบ้าง (เนื่องจากจีอีเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีบริษัทลูกเป็นจำนวนมาก) Welch ได้นำคำถามของ Drucker ไปคิดต่อแล้วทำให้เขาตัดสินใจที่จะออกกฎเหล็กว่า จีอีจะอยู่ในธุรกิจที่บริษัทของจีอีเป็นที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น

ถึงแม้ Peter Drucker จะเริ่มให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจรวมทั้งการบัญญัติแนวคิดทางการจัดการต่างๆ มานานแล้ว แต่อุตสาหกรรม Guru ถือว่าได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 1982 จากหนังสือชื่อ ‘In Search of Excellence’ หรือที่มีการแปลเป็นไทยว่า “ดั้นด้นสู่ความเป็นเลิศ” ซึ่งถือเป็นหนังสือในทางธุรกิจที่โด่งดังที่สุดและขายดีที่สุดในยุคนั้น ท่านผู้อ่านลองเข้าไปในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่างๆ ดูซิครับจะเจอหนังสือเล่มนี้อยู่ในเกือบทุกมหาวิทยาลัย หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยอดีตที่ปรึกษาของบริษัท McKinsey Consulting ชื่อ Tom Peters และ Robert Waterman สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเนื่องจากหนังสือเล่มนี้ได้มุ่งเน้นไปที่ผู้บริหารระดับกลางทั่วๆ ไป ทำให้แนวคิดในการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอได้กลายเป็นสิ่งที่ฮิตในหมู่ผู้บริหารระดับสูงอย่างรวดเร็ว ผมเองยังจำได้เลยว่าสมัยเรียนปริญญาตรียังจะต้องซื้อหนังสือเล่มนี้ที่เป็นฉบับภาษาไทยมาอ่าน และอาจารย์ผู้สอนในวิชากลยุทธ์ธุรกิจยังได้นำวิดิโอเทปเกี่ยวกับเรื่องราวของบริษัทที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้มาให้ดูด้วย 

ภายหลังจากหนังสือ In Search of Excellence แล้วก็ได้มีหนังสือทางด้านธุรกิจอื่นๆ ที่จับตลาดในระดับกว้างออกมาหลายเล่ม ซึ่งแต่ละเล่มก็ได้รับการต้อนรับจากผู้บริหารและนักอ่านอย่างมาก อาทิเช่น ‘The One Minute Manager’ โดย Ken Blanchard และ Spencer Johnson (ผู้เขียน Who Moved My Cheese ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบัน) หรือ ‘The Seven Habits of Highly Effective People’ โดย Stephen Covey ที่ขายดีมากในไทย รวมทั้งได้มีฉบับภาษาไทยแปลออกมาด้วย 

คุณประโยชน์ที่สำคัญประการหนึ่งที่หนังสือ In Search of Excellence ก่อให้เกิดแก่วงการ Guru ได้แก่การเปิดโอกาสให้นักวิชาการ ที่ปรึกษา และนักเขียนต่างๆ ได้มีโอกาสเข้าสู่วงจรการบรรยายตามบริษัทต่างๆ ซึ่งคงจะถือว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองของ Guru เหล่านี้ เนื่องจาก Guru ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเลยว่า ‘การเขียนหนังสือไม่ได้ก่อให้เกิดกำไรเท่าไร แต่มันเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่วงจรการบรรยายที่สามารถเรียกได้ครั้งละ $30,000 - $50,000’ (ท่านผู้อ่านลองเอาอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปคูณดูซิครับแล้วจะทราบว่าอัตรานี้มันน่าดึงดูดใจแค่ไหน)

ในปี 1993 ได้ปรากฏหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ได้ออกมาเขย่าวงการได้แก่ Reengineering the Corporation ที่เขียนโดย Michael Hammer และ James Champy หนังสือเล่มนี้ถือเป็นส่วนผสมระหว่างการศึกษาทางวิชาการด้านการจัดการกับผลของการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ หนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดกระแส Reengineering ไปทั่วทุกวงการ ทำเงินอย่างมหาศาลให้กับบริษัทที่ปรึกษาต่างๆ รวมทั้งทำให้คนตกงานเป็นล้านๆ คนทั่วโลก Michael Hammer เองก็ได้บุกเบิกมิติใหม่ของการบรรยายนั้นคือแทนที่จะเก็บเงินจากการไปบรรยายทีละครั้ง Hammer ได้จัดสัมมนาให้กับผู้บริหารประมาณ 200 – 400 คน โดยเขาเรียกการประชุมในลักษณะนี้ว่า Hammer Forum และได้กำไรจากการประชุมแต่ละครั้งประมาณ $500,000 - $1,000,000 (อย่าลืมลองนำอัตราแลกเปลี่ยนมาคูณดูนะครับ) 


วารสาร Business 2.0 และหนังสือพิมพ์ Financial Times ได้มีการจัดอันดับ Guru ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก และถ้าดูรายชื่อของสิ่งพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับแล้วจะพบว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Guru ที่ถือเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Peter Drucker, Charles Handy, Michael Porter, Gary Hamel, Tom Peters, C.K. Prahalad, Philip Kotler, Peter Senge, Warren Bennis, Jim Collins, Michael Hammer, Stephen Covey, David Norton, Robert Kaplan ฯลฯ ชื่อของบุคคลเหล่านี้ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารทางแนวคิดทางการจัดการใหม่ๆ คงจะมีความคุ้นเคยกันอยู่พอสมควร เท่าที่ดูรายชื่อจะมีชาวเอเซียอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ได้การยกย่องให้อยู่ในรายชื่อ Guru ชั้นนำของโลก ได้แก่ Kenichi Ohmae คงจะต้องรออีกนานมากนะครับกว่าจะเห็นชื่อคนไทยเป็นหนึ่งใน Guru ชั้นนำของโลก

Wednesday, February 26, 2014

"กลยุทธ์คืออะไร?" ตอนที่ 2 จากหนังสือเล่มใหม่ที่กำลังเขียนอยู่

ตอนที่ 2 กลยุทธ์คืออะไร?


คำถามที่ว่ากลยุทธ์คืออะไร? ดูเหมือนจะเป็นคำถามคลาสสิกที่สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์​ยิ่งปัจจุบันกลยุทธ์กลายเป็นคำที่เมื่อนำไปประกอบกับคำอื่นๆ แล้ว ทำให้คำๆ นั้นมีความสำคัญยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแท้จริงแล้วกลยุทธ์คืออะไรกันแน่

ขนาดกูรูชื่อดังทางด้านกลยุทธ์จาก Harvard Business School อย่าง Michael E. Porter ยังจำเอาคำถามดังกล่าวแล้วเขียนเป็นบทความคลาสสิกทางด้านกลยุทธ์ในชื่อ What Is Strategy? ลงใน Harvard Business Review ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1996  

เวลาผมสอนหนังสือให้กับบรรดาผู้บริหารองค์กรต่างๆ ก็มักจะเริ่มต้นด้วยคำถามว่า กลยุทธ์คืออะไร? เพื่อรับฟังมุมมองต่างๆ ผู้บริหารเกี่ยวกับกลยุทธ์ และมุมมองเกี่ยวกับว่า “กลยุทธ์คืออะไร?” ที่ดูเหมือนผู้บริหารส่วนใหญ่จะมีเหมือนกันก็คือมักจะมองว่ากลยุทธ์คือการวางแผน หรือ กลยุทธ์คือการกระทำเพื่อบรรลุบางสิ่งบางอย่าง แต่ที่ผมอึ้งที่สุดก็เป็นลูกศิษย์ในหลักสูตร MBA สำหรับผู้บริหารของที่คณะ ว่าพอถามว่ากลยุทธ์คืออะไร เขาตอบมาอย่างเสียงดังฟังชัดเลยว่า “กลยุทธ์คือแผนชั่ว”

ถ้าเรามองว่ากลยุทธ์คือแผน หรือ คือสิ่งที่จะทำเพื่อบรรลุเป้าหมาย คำถามที่ผมเองมักจะถามต่อมาว่าถ้าอย่างงั้น แผนธรรมดาๆ กับ กลยุทธ์ต่างกันอย่างไร? 

ในปัจจุบันเริ่มมีอีกมุมมองหนึ่งแล้วว่ากลยุทธ์ไม่ใช่เรื่องของการวางแผนเท่านั้น แต่กลยุทธ์คือการเลือก (Strategy is Choice) และการเป็นเลือกในเรื่องต่างๆ ที่สำคัญสำหรับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการเลือกในเป้าหมายที่ต้องการไปถึง เลือกว่าจะดำเนินงานอยู่ในธุรกิจไหน เลือกว่าจะแข่งขันหรือประสบความสำเร็จด้วยวิธีการใด เลือกว่าจะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในด้านไหน ฯลฯ

บริษัทแห่งหนึ่งตัดสินใจจะอยู่ในธุรกิจเดิมหรือขยายเข้าไปสู่ธุรกิจใหม่ ก็เป็นการเลือก

บริษัทตัดสินใจที่จะเน้นในด้านการให้บริการให้เหนือคู่แข่ง ก็เป็นการเลือก

บริษัทตัดสินใจเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายโดยเข้าสู่ระบบอิเลกทรอนิกส์ ก็เป็นการเลือก

องค์กรภาครัฐแห่งหนึ่งตัดสินใจที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อทำให้กระบวนการตัดสินใจและการให้บริการประชาชนดีขึ้น ก็เป็นเป็นเลือก

สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งตัดสินใจที่จะเพิ่มจำนวนผลงานด้านวิจัยและวิชาการ ก็เป็นการเลือก

แม่ค้าขายหมูปิ้งตัดสินใจเพื่อคุณค่าให้กับหมูปิ้งของตน และขายในราคาแพงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ซื้อ ก็เป็นการเลือก

วินมอร์เตอร์ไซต์ตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่กลางซอยแทนที่จะเป็นปากซอย เพื่อให้ใกล้กับแหล่งชุมชนมากกว่า ก็เป็นการเลือก


ดังนั้นกลยุทธ์จึงไม่ใช่เพียงแค่การวางแผน แต่กลยุทธ์ยังเป็นการเลือกในด้านต่างๆ อีกด้วย (Strategy is Choice)

"กลยุทธ์แปลว่าสำคัญ?" เป็นตอนแรกของหนังสือเล่มใหม่ที่กำลังเขียนอยู่ภายใต้ชื่อ "นินทากลยุทธ์"


ตอนที่ 1 กลยุทธ์แปลว่าสำคัญ?



ปัจจุบันคำว่ากลยุทธ์หรือ Strategy เป็นคำที่ใช้กันเกร่อกันพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นคำว่ายุทธศาสตร์ หรือ กลยุทธ์ ล้วนแล้วกลายเป็นคำที่เมื่อต่อท้ายเข้าไปกับประโยคหรือคำๆ ไหนแล้ว จะทำให้ประโยคหรือคำนั้นมีความสำคัญขึ้นมาทีเดียว 

ท่านผู้อ่านลองดูคำเหล่านี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นคำว่า การเงิน การตลาด การจัดสรรงบประมาณ การเจรจาต่อรอง การตัดสินใจ การคิด การสื่อสาร การดำเนินงาน ฯลฯ

คำต่างๆ ข้างต้นดูเป็นคำธรรมดาๆ ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันทั่วไป แต่เมื่อเรานำคำว่า กลยุทธ์ ไปไว้ข้างหน้า หรือ ต่อท้ายด้านหลัง เราจะพบเลยนะครับว่าคำว่า กลยุทธ์ ทำให้คำที่ใช้กันทั่วๆ ไปเหล่านี้กลายเป็นคำที่ดูมีความสำคัญขึ้นมาทีเดียวครับ มาลองดูกันนะครับ

การเงิน ===> กลยุทธ์ทางการเงินการตลาด ===> กลยุทธ์การตลาดการจัดสรรงบประมาณ ===> กลยุทธ์การจัดสรรงบประมาณการเจรจาต่อรอง ===> กลยุทธ์การเจรจาต่อรองการตัดสินใจ ===> กลยุทธ์การตัดสินใจการคิด ===> การคิดเชิงกลยุทธ์การสื่อสาร ===> การสื่อสารเชิงกลยุทธ์ หรือ กลยุทธ์การสื่อสารการดำเนินงาน ===> กลยุทธ์การดำเนินงาน

ท่านผู้อ่านลองเข้าไปเสริชดูใน Google ซิครับ เอาคำธรรมดาๆ ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันแล้วเติมคำว่ากลยุทธ์เข้าไป เราจะพบว่าคำๆ นั้นทวีความสำคัญขึ้นมา เช่น ผมลองหาคำว่า การลดนำ้หนัก กับ กลยุทธ์ ดู ก็พบหน้าที่เกี่ยวกับ “กลยุทธ์การลดน้ำหนัก” กว่า 500,000 เพจ หรือ พอลองหาคำว่า กลยุทธ์ กับ การสอบเข้าศึกษาต่อ ก็จะเจอ “กลยุทธ์ช่วยลูกพิชิตความสำเร็จในการสอบเข้า ม.1” หรือ “กลยุทธ์พิชิตข้อสอบ”

แม้กระทั่งเรื่องที่จีบเพศตรงข้ามที่เป็นกันโดยธรรมชาติตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน พอเสริชเข้าไปใน Google ก็จะพบทั้ง “กลยุทธ์จีบสาว” และ “กลยุทธ์จีบหนุ่ม”

จะเห็นเลยนะครับว่ากลยุทธ์เป็นคำที่ใช้กันเกร่อพอสมควร และเมื่อใส่ประกบกับคำไหนแล้วก็ทำให้คำๆ นั้นมีความสำคัญขึ้น แต่ก็ทำให้สงสัยว่าจริงๆ แล้วกลยุทธ์คืออะไรกันแน่?

Tuesday, February 25, 2014

"การบริหารความรู้" บทความโบราณเกี่ยวกับ KM ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ปี 2002 ลงใน ผจก.รายสัปดาห์


การบริหารความรู้ (Knowledge Management) มีความจำเป็นและสำคัญอย่างไร?


ถ้าผมจะถามท่านผู้อ่านว่าอะไรคือสินทรัพย์หรือทรัพยากรที่สำคัญและมีค่ามากที่สุดในองค์กรของท่าน ผมเชื่อว่ากว่าร้อยละ 80 คงจะตอบว่าได้แก่บุคลากรภายในองค์กร อย่างไรก็ดีในปัจจุบันได้มีแนวคิดทางการจัดการแนวคิดหนึ่งที่ไม่ได้มองว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป แต่เป็นความรู้ (Knowledge) ที่องค์กรและบุคคลภายในองค์กรมี ตัวอย่างที่ชัดเจนของกรณีนี้ได้แก่ที่บุคลากรแต่ละคนภายในองค์กรเมื่อทำงานถึงช่วงอายุหนึ่งก็ต้องมีการเกษียณอายุ ซึ่งการเกษียณอายุนั้นสิ่งที่องค์กรสูญเสียไปไม่ใช่เพียงแค่บุคคลคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นความรู้และประสบการณ์ในการทำงานของบุคคลผู้นั้นที่สั่งสมมานานนับสิบๆ ปี ด้วยความสำคัญดังกล่าวทำให้องค์กรหลายๆ แห่งในปัจจุบันเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับการบริหารความรู้ (Knowledge Management) ภายในองค์กรมากขึ้นทุกขณะ

ปัจจุบันเราได้เปลี่ยนจากยุคอุตสาหกรรมที่ปัจจัยที่สำคัญในการแข่งขันคือทุน เข้าสู่ยุคที่ปัจจัยสำคัญทางการแข่งขันคือความรู้ (Knowledge) ทำให้เป็นการยากสำหรับองค์กรธุรกิจในการที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กรธุรกิจโดยการจัดสรรทุนและสินทรัพย์อื่นๆ เหมือนในอดีต ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตดูจะพบว่าในปัจจุบันองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเหนือองค์กรอื่นนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นผลผลิตของความรู้แทบทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งความสำเร็จของแต่ละบุคคล คนแต่ละคนจะประสบความสำเร็จได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงหรือปัจจัยทางด้านร่างกายอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรู้ หรือนักกรีฑาหรือนักว่ายน้ำที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก ความสำเร็จของบุคคลเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกายเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่นักกีฬาเหล่านั้นจะต้องสามารถนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ไม่ว่าจะเป็นในด้านของวิทยาศาสตร์การกีฬา หรือการออกแบบชุดว่ายน้ำให้มีลักษณะที่เหมือนกับผิวของปลาฉลาม ถ้าท่านผู้อ่านพิจารณาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงๆ จะพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมที่สินค้าหรือบริการเป็นผลผลิตของความรู้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมบันเทิง ซอฟแวร์ ยา หรือสื่อสารโทรคมนาคม ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ องค์กรใดจะประสบความสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่กับความรู้ (Knowledge) ทั้งสิ้น

ท่านผู้อ่านอาจจะมองไปรอบๆ ตัวดูซิครับแล้วจะพบว่าสินค้า หรือบริการต่างๆ ที่มีการซื้อขายในปัจจุบันเป็นผลผลิตของความรู้ทั้งสิ้นและความรู้จะยิ่งมีบทบาทที่สำคัญต่อการผลิตสินค้าหรือบริการเหล่านั้นมากขึ้นทุกขณะ แม้กระทั่งแม่ค้าขายกล้วยแขกก็ต้องอาศัยความรู้ในการขายกล้วยแขกให้ได้ ทั้งในด้านความรู้เกี่ยวกับสูตรของการทอดกล้วยแขกที่ทำให้รสชาดอร่อยกว่าเจ้าอื่น หรือแม้กระทั่งความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
ท่านผู้อ่านคงจะเห็นความจำเป็นและความสำคัญที่องค์กรจะต้องมีความรู้และความสามารถในการบริหารความรู้ (Knowledge Management) แล้วนะครับ ได้มีผู้ให้คำจำกัดความของการบริหารความรู้ไว้จำนวนมาก อาทิเช่น “การบริหารความรู้เป็นความสามารถหรือกระบวนการภายในองค์กรที่จะเพิ่มหรือพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรโดยอาศัยความรู้” หรือ “การบริหารความรู้เป็นกระบวนการหรือระบบในการสรรหาความรู้ที่ถูกต้อง สำหรับบุคคลที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม และช่วยให้มีการแบ่งปันความรู้ความเหมาะสม เพื่อช่วยให้องค์กรพัฒนาและปรับปรุงความสามารถในการดำเนินงาน”

ในแวดวงวิชาการและการบริหารธุรกิจในปัจจุบันการบริหารความรู้ (Knowledge Management) ถือเป็นแนวคิดทางการจัดการที่ทวีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ วารสาร Fortune ซึ่งเป็นวารสารทางด้านธุรกิจชั้นนำของโลกได้เคยมีการเลือกแนวคิดทางการจัดการแห่งศตวรรษขึ้นมาเมื่อใกล้ขึ้นศตวรรษใหม่ โดย Knowledge Management ก็ติดอันดับแนวคิดทางการบริหารที่สำคัญแห่งศตวรรษด้วย (แนวคิดอื่นประกอบด้วย Scientific Management, Assembly Line, Modern Corporation, Leadership, Brand Management, Management Guru, Quality, และ Reengineering) หรือจากผลการสำรวจของบริษัท Bain and Company ที่ได้มีการสำรวจเครื่องมือทางการจัดการที่นิยมใช้มากที่สุดในโลก Knowledge Management ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้มากที่สุด (รายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องมือทางการจัดการนี้ได้ลงพิมพ์ไว้ตั้งแต่ 2-3 ฉบับที่แล้ว)

สำหรับในประเทศไทยเอง แนวคิดในเรื่องของ Knowledge Management ก็ได้เข้ามาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางบริษัทที่เกี่ยวข้องกับซอฟแวร์หรือโปรแกรมสำเร็จรูป ซึ่งจริงๆ แล้วหลักการที่สำคัญของการบริหารความรู้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีสารสนเทศ แต่เป็นแนวคิดในด้านการบริหารและในเรื่องของวัฒนธรรมองค์กร เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารความรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง เทคโนโลยีสารสนเทศไม่สามารถที่จะทดแทนความรู้หรือการบริหารความรู้ได้

การบริหารความรู้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ยากแถมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตเราอยู่แล้วด้วย อย่างเช่น การที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้ของผมอยู่ก็ถือเป็น Knowledge Acquisition หรือ ท่านผู้อ่านถามเพื่อนร่วมงานถึงเส้นทางในการไปงานเลี้ยงแห่งหนึ่งก็ถือเป็นการถ่ายทอดความรู้ (Knowledge Transfer) หรือ การที่ท่านผู้อ่านพูดคุยกับเพื่อนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวที่พาดหัวหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี้ก็ถือเป็นการแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันของเรานั้น มีการสรรหา การถ่ายทอด และการแบ่งปันความรู้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่การกระทำต่างๆ เหล่านี้เป็นไปโดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อนเท่านั้นเอง
ในปี 1997 ทาง Ernst & Young Center for Business Innovation and Business Intelligence ได้มีสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารกว่า 400 องค์กรทั่วโลกเกี่ยวกับความคิดเห็นในเรื่องของการบริหารความรู้ภายในองค์กร ซึ่งผลจากการสำรวจนี้มีประเด็นหลายประเด็นที่น่าสนใจได้แก่ ผู้บริหารกว่าร้อยละ 87 มองว่าตนเองอยู่ในธุรกิจที่เป็น ‘knowledge-intensive’

ความรู้หรือ Knowledge ที่ผู้บริหารมองว่ามีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันขององค์กรเรียงตามลำดับความสำคัญได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับลูกค้า (ร้อยละ 97) ความรู้เกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการทำงานที่ดีที่สุด (Best Practices/Effective Processes) (ร้อยละ 87) ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่องค์กรของตนมีความโดดเด่นหรือชำนาญ (ร้อยละ 86) ความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของตนเอง (ร้อยละ 85) ความรู้เกี่ยวกับตลาดหรือธุรกิจใหม่ๆ (ร้อยละ 83) และความรู้เกี่ยวกับคู่แข่งขัน (ร้อยละ 80)

สำหรับประโยชน์ที่ผู้บริหารมองว่าจะได้รับจากการบริหารความรู้มากที่สุดนั้นประกอบด้วย นวัตกรรมใหม่ๆ ประสิทธิภาพในการทำงาน การตัดสินใจที่ดีขึ้น ความสามารถในการตอบสนองต่อลูกค้า ความยืดหยุ่นหรือความสามารถในการปรับตัวขององค์กร การเพิ่มพูนคุณภาพทั่วทั้งองค์กร และการลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน ตามลำดับ
ในแบบสอบถามนี้ยังได้มีการถามถึงความสามารถขององค์กรในการบริหารความรู้และพบว่าจากกระบวนการและขั้นตอนในการบริหารความรู้ทั้งหมด ความสามารถในการวัดหรือประเมินสินทรัพย์ทางปัญญา รวมทั้งผลกระทบจากการบริหารความรู้เป็นข้อด้อยที่สุด
สำหรับเทคโนโลยีที่สำคัญที่เข้ามามีส่วนช่วยในการบริหารความรู้ขององค์กรได้ดีที่สุดประกอบด้วย ระบบ Intranet, Decision Support Tools, Data Warehouse, และ Groupware


ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่าการบริหารความรู้ (Knowledge Management) นั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเพิ่มความสามารถในด้านการนวัตกรรมขององค์กร ในการบริหารความรู้นั้นประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 2 ประการได้แก่ การพัฒนาความรู้ (Knowledge Generation) และการถ่ายทอดความรู้ (Knowledge Transfer) ซึ่งในสัปดาห์เราจะมาศึกษาในรายละเอียดของการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ แต่ก่อนที่จะพบกันอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์หน้า ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูนะครับว่าตลอดทั้งสัปดาห์ท่านผู้อ่านได้มีการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้อย่างไรบ้าง

"เครื่องมือทางการจัดการที่เป็นที่นิยมในปี 2002" ลงในผจก.รายสัปดาห์ เมื่อปี 2002


เครื่องมือทางการจัดการชนิดใดที่เป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในโลก? 


ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้มีเครื่องมือทางการจัดการ (Management Tools) ใหม่ๆ ออกมาให้ผู้บริหารได้ใช้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น Reengineering, TQM, One-to-One Marketing, Benchmarking ฯลฯ เครื่องมือทางการจัดการเหล่านี้ครอบคลุมหลักการและแนวคิดต่างๆ ทางการจัดการตั้งแต่ในเรื่องของการวางแผน การตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การบริหารงานบุคคล การบริหารต้นทุน ฯลฯ เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อแนวคิดและวิธีการในการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่างๆ ขณะเดียวกันเครื่องมือเหล่านี้หลายประการก็มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น เครื่องมือบางประการจะแนะให้ผู้บริหารรักษาลูกค้าทั้งหมดไว้ แต่ในขณะเดียวกันเครื่องมืออีกประการอาจจะแนะให้องค์กรลืมลูกค้าทั้งหมดยกเว้นลูกค้าที่ทำกำไรให้สูงสุด ความขัดแย้งเหล่านี้อาจจะทำให้ผู้บริหารที่ได้ศึกษาเครื่องมือเหล่านี้เกิดความสับสน อย่างไรก็ดีเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ เครื่องมือทางการจัดการทุกชนิดต่างสัญญากับผู้ใช้ว่าจะทำให้ผู้ใช้และตัวองค์กรประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่งขันอื่นๆ ซึ่งจากคำสัญญานี้เองทำให้ผู้บริหารในปัจจุบันต่างหันมาใช้เครื่องมือทาการจัดการเหล่านี้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่สภาวะการแข่งขันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตลอดเวลา

ในประเทศไทยเองผู้บริหารขององค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ความสนใจต่อเครื่องมือทางการจัดการเหล่านี้กันอย่างมากมาย ถ้าจะพิจารณาเครื่องมือทางการจัดการที่เคยเป็นหรือที่ยังเป็นที่นิยมใช้ในประเทศไทยก็คงจะสามารถไล่เรียงได้ดังนี้ (เรียงตามลำดับตัวอักษร)  4-Ps, 5-Forces, 6 Sigma, 7-Ss of McKinsey, Activity Based Costing (ABC), Balanced Scorecard, Benchmarking, Core Competencies, Customer Relationship Management (CRM), Customer Satisfaction Measurement, ISO ในอนุกรมต่างๆ, Just-in-Time (JIT), Knowledge Management, Learning Organizations, MBO (Management by Objectives), Mission and Vision Statements, MRPI and MRPII, One-to-One Marketing, Pay-for-Performance, Quality Circles, Reengineering, Scenario Planning, Strategic Alliances, Strategic Planning, Total Quality Management (TQM), Value-Chain Analysis, Zero-Based Budgets ฯลฯ

เป็นอย่างไรครับ เครื่องมือทางการจัดการต่างๆ เหล่านี้แล้วทำให้ตาลายไหมครับ เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้บางตัวก็เคยเป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในเกือบทุกองค์กร บางตัวก็ยังใช้อยู่จนกลายเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับทุกองค์กร ในขณะที่บางตัวเลิกใช้หรือพูดถึงกันไปแล้วและบางตัวก็กำลังเป็นที่กล่าวขวัญและนิยมใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เคยมีผู้ถามผมเหมือนกันว่าทำไมในการบริหารในปัจจุบันเครื่องมือทางการจัดการต่างๆ เหล่านี้ถึงได้เป็นที่นิยมอย่างมาก จนกระทั่งในปัจจุบันองค์กรต่างๆ ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชนจะขาดเครื่องมือเหล่านี้ไปเสียไม่ได้ ในขณะที่การดำเนินธุรกิจในอดีตนั้นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้

ผมมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้อยู่ 3 ประการครับ ข้อแรก การดำเนินธุรกิจในอดีตนั้น ผู้บริหารไม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมต่างๆ เท่ากับในปัจจุบัน ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นว่าผู้บริหารในปัจจุบันจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยแนปลงอยู่ตลอดเวลาในทุกๆ ด้าน  ทำให้ผู้บริหารต้องการเครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการบริหารเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ข้อที่สอง ถ้าท่านผู้อ่านได้ศึกษาในเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้อย่างละเอียดจะพบว่าเครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้มีความแปลกใหม่หรือพิสดารมากนัก เครื่องมือหลายๆ ประการเป็นเพียงแค่หลักในการบริหารหรือดำรงชีวิตที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป เพียงแต่ผู้คิดค้นเครื่องมือเหล่านี้สามารถนำหลักการทั่วๆ ไปเหล่านี้เข้ามาจัดเรียงหรือผสมผสานจนกลายเป็นเครื่องมือทางด้านการจัดการสมัยใหม่ ตัวอย่างเช่น  การเปรียบเทียบกับผู้อื่น (Benchmarking), การวัดผล (Key Performance Indicators), การมองทางเลือกต่างๆ ในอนาคต (Scenario), การจับมือร่วมกับผู้อื่น (Strategic Alliances), การใช้สิ่งที่เรามีความเชี่ยวชาญและชำนาญให้เป็นประโยชน์ (Core Competencies) ฯลฯ ซึ่งผู้บริหารในอดีตก็ได้ใช้หลักการพื้นฐานง่ายๆ เหล่านี้ในการบริหารองค์กรของตนเอง โดยที่ในอดีตยังไม่ได้มีการตั้งชื่อหลักการพื้นฐานเหล่านี้ให้วิลิศสมหราและเข้าใจยากเช่นในปัจจุบัน ข้อที่สาม สั้นๆ และตรงไปตรงมา “เห็นผู้อื่น (ต่างชาติ) ใช้ จึงใช้ตามบ้าง”

จากปริมาณและความหลากหลายของเครื่องมือทางการจัดการเหล่านี้ ทำให้กลายเป็นหน้าที่ประการหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงในการที่จะคอยติดตามความเปลี่ยนแปลงและการก่อกำเนิดของเครื่องมือทางการจัดการสมัยใหม่ อย่างไรก็ดีผู้บริหารเองก็ประสบความยากลำบากในการที่จะทราบได้ว่าเครื่องมือชนิดใดที่ดีและมีความเหมาะสมกับองค์กรบ้าง อีกทั้งขาดข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์จากองค์กรอื่นๆ ที่ได้เคยใช้เครื่องมือเหล่านี้ไปแล้ว เปรียบเสมือนการขาดข้อมูลสำหรับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการใหม่ๆ ทำให้การเลือกใช้เครื่องมือทางการจัดการใหม่ๆ ของผู้บริหารมีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้น
ในปี 1993 ได้มีบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการจัดการแห่งหนึ่งชื่อ Bain & Company ได้เริ่มที่จะมีการศึกษาและสำรวจถึงการใช้เครื่องมือทางการจัดการเหล่านี้ จนกระทั่งถึงปัจจุบันได้มีการสำรวจและสอบถามไปยังผู้บริหารกว่า 5,600 แห่งจาก 20 บริษัทและ 4 ทวีปทั่วโลก ในปีที่ผ่านมาทาง Bain ได้มีการส่งแบบสอบถามไปยังผู้บริหารเกือบ 500 คนทั่วโลก พร้อมทั้งได้มีการสัมภาษณ์ในเชิงเจาะลึกกับผู้บริหารบางราย โดยในการสำรวจในครั้งนี้ทาง Bain ได้คัดเลือกเครื่องมือทางการจัดการที่เป็นที่นิยมที่สุดทั่วโลกในปัจจุบัน 25 เครื่องมือ โดยเกณฑ์ในการคัดเลือกนั้นทาง Bain พิจารณาจากเกณฑ์ 3 ประการ ได้แก่ เป็นเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูง เป็นเครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยม (พิจารณาจากการตีพิมพ์ในวารสารทางธุรกิจ) และ เป็นเครื่องมือที่สามารถวัดได้ว่ามีการใช้เครื่องมือนั้นจริงๆ เครื่องมือทางด้านการจัดการทั้ง 25 เครื่องมือนี้ได้ถูกส่งไปยังผู้บริหารทั่วโลกพร้อมทั้งคำถามต่างๆ เกี่ยวกับเครื่องมือเหล่านี้

ท่านผู้อ่านลองมาพิจารณากันนะครับว่าเครื่องมือทางการจัดการที่เป็นที่นิยมมากกที่สุด 25 เครื่องมือที่ทางบริษัท Bain ได้คัดเลือกไว้ประกอบด้วยอะไรบ้าง (เรียงตามลำดับตัวอักษรนะครับ)

Activity-Based Management
Balanced Scorecard
Benchmarking
Core Competencies
Corporate Venturing
Customer Relationship Management
Customer Satisfaction Measurement
Customer Segmentation
Cycle Time Reduction
Growth Strategies
Knowledge Management
Market Disruption Analysis
Merger Integration Teams
Mission and Vision Statement
One-to-One Marketing
Outsourcing
Pay-for-Performance
Real Options Analysis
Reengineering
Scenario Planning
Shareholder Value Analysis
Strategic Alliances
Strategic Planning
Supply Chain Integration
Total Quality Management



เป็นอย่างไรบ้างครับเครื่องมือทางการจัดการที่เป็นที่นิยมที่สุดของ Bain 25 ประการ ท่านผู้อ่านมีความรู้จักและคุ้นเคยอยู่กี่ประการ ในสัปดาห์หน้าเรามาดูต่อในรายละเอียดของผลการสำรวจของ Bain ว่าเครื่องมือทางการจัดการใดที่จะเป็นเครื่องมือที่ใช้กันมากที่สุด ใช้แล้วพอใจมากที่สุด รวมทั้งมีอัตราการเลิกใช้มากที่สุด ท่านผู้อ่านที่มีความคุ้นเคยต่อเครื่องมือเหล่านี้ก็ลองไปจัดอันดับของท่านดูก็ได้ แล้วรอดูในสัปดาห์หน้าว่าจะตรงกับผลการสำรวจของทางบริษัท Bain & Company หรือไม่

Monday, February 24, 2014

"Team Leadership" เขียนขึ้นให้กับสถาบันแห่งหนึ่งในปี 2004


Team Leadership


ปัจจุบันเรามีความสนใจต่อการศึกษาในเรื่องของภาวะผู้นำกันอย่างมาก ท่านผู้อ่านลองไปเดินตามร้านหนังสือทั้งหลายดูซิครับจะพบหนังสือเกี่ยวกับภาวะผู้นำอยู่มากมาย (ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีหนังสือเกี่ยวกับภาวะผู้นำออกมากว่า 4,000 เล่มทั่วโลก) แถมหนังสือหลายๆ เล่มที่ท่านนายกฯ ของเราแนะนำให้คณะรัฐมนตรีอ่านก็เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ เมื่อเปิดอ่านวารสารหรือหนังสือพิมพ์ทางด้านธุรกิจก็จะพบบทสัมภาษณ์ผู้นำขององค์กรต่างๆ กันอย่างมากมาย คำว่าซีอีโอ (CEO) ดูเหมือนจะกลายเป็นคำสามัญที่ทุกคนในเมืองไทยรู้จักกันแล้ว อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าความตื่นตัวในเรื่องของภาวะผู้นำในปัจจุบันจะมุ่งเน้นอยู่ที่ตัวผู้นำที่เป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรเท่านั้น จนอาจจะทำให้เราละเลยหรือเปล่าครับว่าผู้นำในองค์กรนั้นไม่ได้มีผู้นำสูงสุดเพียงท่านเดียว และการที่องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวผู้นำสูงสุดเพียงท่านเดียวเสมอไป ในแต่ละองค์กรยังมีผู้นำในระดับต่างๆ นอกเหนือจากผู้นำสูงสุดที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ องค์กรหลายแห่งที่มีผู้นำสูงสุดที่มีความรู้ ความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถนำมาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้เสมอไป ภายใต้ภาวะการแข่งขันเช่นปัจจุบัน การจะบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ได้เป็นลักษณะของ “เก่งคนเดียว” อีกต่อไป ผู้นำสูงสุดที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความสามารถในการพัฒนาให้เกิดผู้นำในทุกระดับขององค์กรมากกว่า เรียกได้ว่า “เก่งเป็นทีม ย่อมดีกว่าเก่งคนเดียว”

จริงๆ แล้วการที่เรามุ่งเน้นและให้ความสำคัญต่อตัวผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวจนละเลยผู้นำระดับอื่นๆ ในองค์กร ก็เป็นสิ่งที่เราถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วละครับ เรามักจะมีภาพอยู่ในใจว่าผู้นำที่เก่งนั้นจะต้องสามารถทำได้ทุกอย่าง มีปัญหาอะไรก็สามารถแก้ไขได้ เหมือนกับภาพที่เรามีต่อซุปเปอร์แมนหรือบรรดาซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายครับ สังเกตดูซิครับบรรดาผู้นำสูงสุดที่ประสบความสำเร็จหลายท่านที่เรามักจะเติมคำว่า “ซุปเปอร์” นำหน้าชื่อบุคคลเหล่านั้นเสมอ ดูเหมือนว่าเราเองที่ไปตั้งความคาดหวังไว้กับผู้นำสูงสุดขององค์กรไว้อย่างสูง เผลอๆ ความคาดหวังดังกล่าวจะกลายเป็นความกดดันต่อบรรดาผู้นำสูงสุดทั้งหลาย ผมไปเจองานสำรวจของอเมริกันแห่งหนึ่งที่ได้สอบถามคนกว่าพันคน ถึงสิ่งที่เขามีความคาดหวังต่อผู้นำสูงสุด ผลออกมาน่าสนใจครับ

ร้อยละ 87 คาดหวังว่าผู้นำสูงสุดจะต้องสามารถจูงใจบุคลากรให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร
ร้อยละ 78 เชื่อว่าผู้นำจะต้องสามารถเจรจาและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ร้อยละ 77 เชื่อว่าจะต้องเป็นผู้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานที่เหมาะสมขององค์กร
ร้อยละ 76 พึ่งพาผู้นำเป็นผู้กำหนดกิจกรรมที่จะทำเพื่อให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อสังคมได้ดีที่สุด
ร้อยละ 63 ต้องการให้ผู้นำสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ให้ต่อบุคลากรทั่วทั้งองค์กร
ร้อยละ 61 มองว่าผู้นำเป็นที่รับผิดชอบต่อผลผลิตของบุคลากรในองค์กร
ร้อยละ 61 คิดว่าผู้นำควรจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนกลยุทธ์ที่ดีได้
ร้อยละ 56 คิดว่าผู้นำควรจะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารงานประจำวันในองค์กร

เป็นอย่างไรบ้างครับ? อ่านผลการสำรวจดังกล่าวแล้วรู้สึกสงสารผู้ที่เป็นผู้นำสูงสุดในองค์กรนะครับ ดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นผู้นำสูงสุดจะกลายเป็นผู้เดียวที่ต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเถียงผมก็ได้ว่าคนที่เป็นผู้นำสูงสุดก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสงสัยก็คือเราสร้างความคาดหวังผิดๆ ต่อผู้นำสูงสุดหรือไม่ ผมเชื่อว่าความกดดันตรงนี้แหละครับที่ทำให้ผู้นำสูงสุดทุกท่านจะต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดหวังของทุกๆ คนที่ฝากความหวังไว้ และถ้าท่านไหนทำได้สำเร็จส่วนใหญ่ก็มักจะได้คำนำหน้าว่า “ซุปเปอร์” ไปเลย ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ใช่ผู้นำสูงสุดทุกท่านที่จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ ดังนั้นเราคงไม่แปลกใจนะครับว่าทำไมในปัจจุบันเราจะเห็นอดีตผู้นำสูงสุดที่ล้มเหลวกันมากขึ้น คำถามที่สำคัญก็คือวิธีการคิดของพวกเราเกี่ยวกับผู้นำในแบบที่เคยมีมาในอดีต (การให้ความสำคัญและความคาดหวังอย่างสูงต่อผู้นำสูงสุด) เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? เราจะสามารถหาผู้นำสูงสุดที่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของเราได้ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่? เผลอๆ เราเองเป็นผู้ที่ทำให้ผู้นำสูงสุดหลายท่านต้องล้มเหลวโดยไปตั้งความหวังไว้มากมาย เราควรที่จะลดความคาดหวังที่เรามีต่อผู้นำสูงสุดหรือไม่? เราควรที่เปลี่ยนปรัชญาและวิธีการมองภาวะผู้นำใหม่หรือไม่? จริงๆ แล้วผู้นำที่ดีควรที่จะมีลักษณะอย่างไร?

ผมมองว่าสมมติฐานเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากภาวะการแข่งขันที่รวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถหวังพึ่งผู้นำสูงสุดให้เป็นผู้นำองค์กรสู่ความสำเร็จได้อีกต่อไป องค์กรสมัยใหม่จะต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น สามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการมากขึ้น สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของคู่แข่งได้ดีขึ้น ปรับตัวต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปได้ดีขึ้น ฯลฯ ผู้นำสูงสุดคนเดียวคงยากที่จะทำสิ่งต่างๆ ข้างต้นได้ดีทั้งหมด จริงอยู่นะครับที่คงจะมีผู้นำสูงสุดที่ประสบความสำเร็จและโดดเด่นโผล่มาอีก แต่เชื่อว่าในองค์กรส่วนใหญ่เราจะหวังรอให้ผู้นำสูงสุดระดับซุปเปอร์สตาร์หล่นมาจากฟ้าเหมือนในอดีตอีกไม่ได้ ในการแข่งขันยุคใหม่องค์กรไม่สามารถหวังพึ่งผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องการผู้นำที่มีลักษณะเป็นทีมมากขึ้น (Team Leadership) ผู้นำที่เป็นทีมมีได้หลายแบบครับ จะเป็นแบบของดีแทค (DTAC) ที่มีซีอีโอร่วม (Co-CEO) ที่ทั้งคู่สามารถร่วมกันสร้างความแตกต่างและความสำเร็จให้กับบริษัทได้ดีกว่าการมีเพียงแค่ซีอีโอคนเดียว แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ทุกองค์กรมีผู้นำสูงสุดสองคนนะครับ เพราะจะทำแบบดีแทคได้คงจะต้องมีส่วนผสมที่ลงตัวพอสมควร ในขณะเดียวกัน Team Leadership ยังหมายรวมถึงการสร้างผู้นำในเกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร แทนที่จะมีผู้นำสูงสุดเพียงท่านเดียว แต่จะมีผู้ที่เป็นผู้นำเกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร การมีผู้นำเกิดขึ้นในทุกระดับจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการแข่งขันในยุคปัจจุบันได้ดีกว่าการมีผู้นำสูงสุดอยู่เพียงคนเดียว ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยนะครับว่าโดยปกติแล้วในทุกองค์กรเราก็มีผู้บริหารตามลำดับขั้นของสายการบังคับบัญชาอยู่แล้ว และบุคคลเหล่านั้นก็ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นผู้นำในทุกระดับอยู่เป็นปกติ แล้วทำไมแนวคิดในเรื่องของ Team Leadership ถึงมีความสำคัญขึ้นมา? ท่านผู้อ่านต้องอย่าลืมนะครับว่าผู้บริหารกับผู้นำ (Managers and Leaders) มีความต่างกัน ผู้บริหารหมายถึงผู้ที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งการบังคับบัญชาตามที่ได้รับการแต่งตั้ง บุคคลเหล่านั้นก็จะทำงานตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลเหล่านั้นจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้เสมอไป ผมเคยเจอในหลายองค์กรว่าผู้บริหารส่วนใหญ่จะทำงานและตัดสินใจที่เป็นงานประจำมากกว่า แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องอาศัยความเป็นผู้นำในการกล้าที่จะตัดสินใจ จูงใจ หรือสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ผู้บริหารเหล่านั้นกลับผลักหน้าที่นั้นขึ้นไปให้กับตัวผู้นำสูงสุด

จริงๆ แล้วแนวคิดในเรื่องของ Team Leadership ไม่ถือเป็นของใหม่ และเราเองก็เผชิญกับ Team Leadership กันบ่อยๆ เพียงแต่ผมอยากจะย้ำให้เราหันมาให้ความสนใจต่อ Team Leadership กันมากขึ้น ไม่ใช่ฝากความหวังไว้ที่ตัวผู้นำสูงสุดขององค์กรอีกต่อไป แต่จะต้องมีผู้นำในทุกระดับขององค์กรที่พร้อมจะก้าวขึ้นมารับผิดชอบและแสดงบทบาทของผู้นำที่จะแบ่งเบาภาระของผู้ที่เป็นผู้นำสูงสุด ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ผมก็กำลังดูเทปบันทึกการแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลหรือที่เรารู้จักกันในนามของซุปเปอร์โบว์อยู่ด้วย ดูทีมอเมริกันฟุตบอลสองทีมแข่งขันกันอยู่ยิ่งทำให้เห็นบทบาทและความสำคัญของ Team Leadership ได้อย่างชัดเจน คนที่เป็นผู้นำสูงสุดของแต่ละทีมก็คือตัวประธานสโมสรของแต่ละทีม แต่ถ้าถามว่าในกีฬาต่างๆ นั้นคนที่เป็นประธานสโมสรทำหน้าที่เป็นผู้นำแบบ “ข้ามาคนเดียว” หรือไม่? ท่านผู้อ่านก็คงจะตอบตรงกันว่าไม่ ในทีมกีฬาแต่ละทีมนั้นจะมีผู้นำในระดับต่างๆ กันไปเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน (Head Coach) หัวหน้าทีมบุก หัวหน้าทีมรับ หัวหน้าทีมพิเศษ (ในกรณีของอเมริกันฟุตบอล) และแถมในบางสถานการณ์ก็จะมีคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำโผล่ขึ้นมาในบางสถานการณ์ สิ่งที่ผมเห็นบ่อยมากในการแข่งขันกีฬาใดๆ ก็ตาม ก็คือผู้นำในระดับต่างๆ เหล่านี้จะทำหน้าที่ในบางส่วนที่เป็นบทบาทของตัวผู้นำสูงสุด และที่ชัดเจนที่สุดก็คือการปลุกเร้าและจูงใจคนในทีมเดียวกันให้มีใจสู้และไม่ยอมแพ้คู่แข่งขัน เราแทบจะไม่เคยเห็นคนที่เป็นประธานสโมสรลงมาตะโกนให้กำลังใจลูกทีมอยู่ข้างสนามเลย แต่เราจะเห็นภาพของนักกีฬาที่คอยตะโกนและให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอดเวลา บทบาทตรงนั้นแหละครับที่ผมมองว่าเป็น Team Leadership ที่แท้จริง คือแทนที่จะทำหน้าที่เพียงแค่ตามบทบาทหน้าที่ของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่และบทบาทที่ควรจะเป็นของผู้นำสูงสุดด้วย ถ้าทุกองค์กรสามารถทำแบบทีมกีฬาเหล่านี้ได้ คนที่เป็นผู้นำสูงสุดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นยอดมนุษย์อีกต่อไป และความสำเร็จของทั้งองค์กรก็จะเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกคนในองค์กร แทนที่จะเป็นของผู้บริหารสูงสุดอีกต่อไป เราไม่เคยเห็นนะครับว่าการที่ทีมกีฬาชนะการแข่งขันได้เกิดขึ้นจากตัวผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียว แต่สิ่งที่เราได้ยินก็คือเป็นสิ่งที่เกิดจากความร่วมมือของทุกคนในทีม

อย่างที่เรียนไว้ในตอนต้น ผมเชื่อว่าหน้าที่ที่สำคัญจริงๆ ของผู้บริหารสูงสุดของทุกองค์กรก็คือความสามารถในการพัฒนาผู้นำให้เกิดขึ้นในระดับต่างๆ หรือการทำให้เกิด Team Leadership ภายในองค์กร ผมยังคงเชื่อว่าการที่จะสร้าง Team Leadership ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ นั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้นำสูงสุดเป็นสำคัญ แนวคิดทางการจัดการที่สำคัญที่เราเคยได้ยินกันมาไม่ว่าจะเป็น Delegation, Decentralization, Empowerment, Leadership competencies development ล้วนแล้วแต่เป็นแนวทางที่สำคัญที่จะพัฒนาให้เกิด Team Leadership ขึ้นภายในองค์กร อย่างไรก็ดีแนวคิดทางการจัดการข้างต้นเราพูดกันได้ แต่การที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงๆ นั้นไม่ง่ายเหมือนพูดนะครับ Team Leadership จะเกิดขึ้นได้จริงๆ จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการได้แก่ 1) ตัวผู้นำสูงสุดเองจะต้องเปิดและยอมรับที่จะให้เกิดผู้นำที่แท้จริง เกิดขึ้นในทุกระดับ ไม่ใช่ฝันว่าตัวเองจะเป็นยอดมนุษย์เพียงคนเดียวในองค์กรอีกต่อไป ต่อไปบทบาทของผู้นำสูงสุดจะต้องไม่ใช่การสั่งการและบังคับบัญชาอีกต่อไป แต่จะต้องทำหน้าที่เหมือนโค้ช (Coach) มากกว่า การที่จะผู้นำสูงสุดจะเป็นโค้ชได้นั้นพวกเขาอาจจะต้องลืมวิธีการในการสั่งการแบบเดิมๆ และหันมามุ่งเน้นในเรื่องของการให้คำปรึกษา แนะนำ สนับสนุน และให้กำลังใจ เพื่อที่จะสร้างผู้นำให้เกิดขึ้นในทุกระดับ 2) องค์กรจะต้องมีระบบต่างๆ ที่เอื้อต่อการพัฒนาให้เกิดผู้นำในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว หรือระบบในการพัฒนาตนเองผ่านทางการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ 3) บุคลากรเองก็ต้องมีความพร้อมทั้งในตัวทักษะและจิตใจที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่แท้จริง ความพร้อมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความพร้อมทางด้านทักษะในเรื่องของความเป็นผู้นำ หรือการตัดสินใจเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่ยังเป็นความพร้อมในด้านจิตใจด้วย นั้นคือบุคลากรในองค์กรจะต้องมีความอยากที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในหน่วยงานของตนด้วย พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นในตนเอง 

ในช่วงระยะหลังผมเห็นบุคลากรหลายท่านที่มีทักษะที่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่สิ่งที่ขาดก็คือความอยากหรือแรงบันดาลใจ (Passion or Drive) ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนที่จะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจก็จะต้องมีความอยากหรือแรงบันดาลใจในตัวเองที่สูงพอสมควร เช่นเดียวกับคนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ก็จะต้องมีความอยากหรือแรงบันดาลใจที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ (Passion to be a leader) คนทำงานเก่งๆ หลายคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากเขาเหล่านั้นขาดเจ้าตัวความอยากและแรงบันดาลใจนั้นเอง แต่โจทย์สำคัญตอนนี้ก็คือเราจะสร้างความอยากหรือแรงบันดาลใจขึ้นมาได้อย่างไร? ผมลองย้อนกลับไปพิจารณาหลักการทั่วๆ ไปเกี่ยวกับแรงจูงใจที่เราเรียนกันมาแล้วก็ยังไม่พบแนวคิดไหนเลยนะครับที่บอกถึงแนวทางในการสร้างความอยากและแรงบันดาลใจให้คนอยากที่จะเป็นผู้นำ

ผมเองได้มีโอกาสไปค้นเจอตัวอย่างของคุณลักษณะหรือความสามารถ (Competency) ที่คนที่จะเป็น Team Leadership ควรจะมี คุณสมบัติเหล่านั้นประกอบด้วย ความสามารถในการพัฒนาและจูงใจบุคลากรในทีมหรือหน่วยงานของตน ความสามารถในการนำการสนทนาและแก้ไขปัญหาของทีม ความสามารถในการมองเห็นถึงความแตกต่างและการจัดการกับความแตกต่างของความคิดเห็นและวิธีการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม  ความสามารถในการที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม ความสามารถในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ความสามารถในการฟัง ความสามารถในการกำหนดและแบ่งปันความรับผิดชอบ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาและมองหาโอกาสใหม่ๆ ความสามารถในการจัดการกับปัญหาและไอเดียที่หลากหลาย การมีพลังงานและความมุ่งมั่น ดูแลก็เยอะดีนะครับ ไม่รู้ว่าพอนำเสนอคุณสมบัติข้างต้นไปจะทำให้คนไม่อยากเป็นผู้นำกันมากขึ้นหรือเปล่า? ทีนี้เราลองมาดูกันต่อนะครับ ว่าถ้าองค์กรต้องการพัฒนาให้เกิด Team Leadership ขึ้นมาภายในองค์กรจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง

- ระบุคุณสมบัติและความสามารถที่เหมาะสมของผู้นำ ที่องค์กรต้องการเพื่อที่จะทำให้บรรลุต่อวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ (คุณสมบัติที่เหมาะสมอยู่ในย่อหน้าที่แล้ว)

- ผู้นำระดับสูงขององค์กรจะต้องเห็นถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้นำในระดับต่างๆ ผู้นำระดับสูงควรจะเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาผู้นำในทุกระดับ และการเข้ามามีบทบาทนั้นไม่ได้เป็นการพูดถึงทฤษฎีทางด้านภาวะผู้นำ แต่เป็นการเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของตนเองเช่นในกรณีของ Jack Welch ของจีอีที่ให้ความสำคัญกับการเข้ามาพูดคุยกับผู้บริหารในระดับต่างๆ ของจีอีเป็นอย่างมาก และการเข้ามาบอกเหล่าประสบการณ์เหล่านี้จะดียิ่งขึ้นถ้าผู้นำสูงสุดยอมที่จะเล่าประสบการณ์ในช่วงที่แย่และเลวร้ายที่สุดของตนเอง

- กำหนดแนวทางในการพัฒนาผู้นำที่เหมาะสมที่สุด โดยโครงการพัฒนาผู้นำดังกล่าวจะต้อง

     - มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจอย่างแท้จริง ไม่ใช่การพัฒนาผู้นำตามทฤษฎีใหม่ล่าสุดจากที่ปรึกษาที่จ้างเข้ามา และเป็นผู้นำทีมุ่งเน้นแต่ทฤษฎีเป็นหลัก โดยไม่สามารถเห็นผลจริงได้ 
     - ให้ทุกคนที่มีความสนใจอยากจะพัฒนาตนเองเป็นผู้นำได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่ว่าไปหาคนที่ขาด Passion ที่จะเป็นผู้นำเข้ามาพัฒนา ก็คงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด 

- ทำการพัฒนาความสามารถด้านผู้นำในตัวบุคลากรอย่างแท้จริง ใช้เครื่องมือและวิธีการต่างๆ ในการทำให้บุคลากรได้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงและเห็นผลได้ โดยให้บุคลากรได้มีโอกาสในการที่จะ

     - ได้มีโอกาสหรือส่วนร่วมในงานหรือโครงการพิเศษนอกเหนือจากงานประจำ เพื่อให้ได้มีโอกาสในการเรียนรู้และรู้จักกับงานหรือบุคคลใหม่ๆ นอกเหนือจากที่ตนเองรับผิดชอบ
     - มีการมอบหมายงานใหม่ๆ ให้ทำเพื่อให้ได้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในการทำงาน
     -ให้ได้มีโอกาสเข้าไปสอนงานหรือเป็นพี่เลี้ยงให้กับบุคคลอื่น การที่ได้สอนงานหรือเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้อื่นนั้นเป็นโอกาสอันดีที่ได้มีโอกาสกลับมาทบทวนในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ รวมทั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนเองมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ
     -ได้รับการสอนงานหรือโค้ชจากผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของกลุ่มหรือเดี่ยว
     -ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการอบรมหรือกิจกรรมการพัฒนาตนเองที่ภายนอกจัดขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างครับหลักการและความสำคัญของเรื่อง Team Leadership แนวคิดนี้อาจจะเป็นแนวคิดที่หลายๆ คนมักจะมองข้าม แต่ผมคิดว่าเราควรจะหันมาให้ความสนใจกับแนวคิดนี้หน่อยนะครับ อย่างน้อยก็จะทำให้ตัวผู้นำสูงสุดไม่ต้องพยายามทำตัวเหมือนเป็นซุปเปอร์แมนอีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาองค์กรในระยะยาวด้วย แถมผมมองว่าการทำให้เกิด Team Leadership   

"Blue Ocean Strategy กลยุทธ์ทางเลือกใหม่" บทความที่เขียนให้กับวารสารภายในของปูนซิเมนต์นครหลวงเมื่อปี 2006


Blue Ocean Strategy กลยุทธ์ทางเลือกใหม่สำหรับการเติบโต


จะสังเกตได้ว่าในปัจจุบันองค์กรธุรกิจจำนวนมากต่างพยายามแสวงหาทางเลือกหรือแนวทางใหม่ๆ ในการเติบโต ทั้งนี้เนื่องปัญหาสำคัญที่องค์กรธุรกิจจำนวนมากกำลังประสบก็คือ อุตสาหกรรมที่ตนเองอยู่นั้นประสบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และช่องทางในการเติบโตที่น้อยลง ในอุตสาหกรรมเหล่านี้องค์กรแต่ละรายจะมุ่งเน้นในการแข่งขันกับคู่แข่งขัน โดยพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งขัน การแย่งชิงลูกค้าหรืออุปสงค์ที่มีอยู่จากคู่แข่งขันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมประเภทนี้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะทำให้สินค้าและบริการของธุรกิจแต่ละรายมีลักษณะที่เหมือนๆ กัน ซึ่งก็นำไปสู่การแข่งขันทางด้านราคาในที่สุด เราจะเรียกกลยุทธ์การแข่งขันในลักษณะนี้ว่า Red Ocean Strategy เนื่องจากสุดท้ายแล้วธุรกิจแต่ละรายก็จะบาดเจ็บและเลือดออก กลายเป็นทะเลสีแดงในที่สุด 

ดังนั้นจะไม่น่าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดบริษัทต่างๆ ถึงเพียรเสาะแสวงหาแนวทางหรือกลยุทธ์ใหม่ในการเติบโต เพื่อหลีกเลี่ยงจากการแข่งขันในทะเลสีแดงและการไม่มีโอกาสในการเติบโตอย่างแท้จริง W. Chan Kim และ Renee Mauborgne สองนักวิชาการจากสถาบัน INSEAD ของฝรั่งเศสได้พัฒนาแนวคิดในเรื่องของ Blue Ocean Strategy หรือ ทะเลน่านน้ำสีครามขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับองค์กรต่างๆ ที่ยังติดอยู่แต่ในทะเลสีแดง โดยแนวคิดของ Blue Ocean Strategy (BOS) นั้นไม่เน้นการแข่งขันหรือการเอาชนะคู่แข่งขันเดิมๆ ที่มีอยู่ แต่เน้นในการทำให้คู่แข่งเดิมที่มีอยู่หมดความหมายหรือล้าสมัยไป นอกจากนี้ BOS ยังไม่เน้นการแย่งชิงลูกค้าหรือการตอบสนองต่อความต้องการเดิมๆ ที่มีอยู่ แต่เป็นการสร้างความต้องการใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมา (Creating New Demand) 

ถ้าดูอย่างผิวเผินแนวคิด BOS อาจจะไม่ใหม่สำหรับแวดวงวิชาการ เนื่องจากได้มีนักคิดก่อนหน้านี้คิดออกมาในลักษณะเดียวกัน แต่ความโดดเด่นของ BOS คือไม่ได้เป็นเพียงแค่ Wishful Thinking แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบด้วยเครื่องมือในการวิเคราะห์และคิดเพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถสร้างน่านน้ำสีครามของตนเองขึ้นมา อาทิเช่น การมองคนที่เป็นลูกค้าด้วยมุมมองใหม่ๆ นั้นคือในอดีตเรามักจะมองว่าลูกค้าคือลูกค้า แต่แนวคิดของ BOS นั้นจะเสนอให้มองว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจริงๆ โดยบอกว่ากลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการนั้นประกอบไปด้วย ผู้ซื้อ (Purchasers) ผู้ใช้ (Users) และผู้ที่มีอิทธิพล (Influencers) โดยในแต่ละอุตสาหกรรมนั้น ผู้ที่ตัดสินใจซื้อจริงๆ นั้นอาจจะแตกต่างกัน เช่น ถ้าพนักงานขายยาไปขายยาให้กับโรงพยาบาล ผู้ที่พนักงานขายยาควรจะให้ความสนใจไม่ใช่ผู้ซื้อ (ฝ่ายจัดซื้อที่เป็นคนจ่ายเงิน) หรือ ผู้ใช้ (ผู้ป่วย) แต่เป็นผู้มีอิทธิพล (หมอ) ซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ในการขายหรือวิธีการในการคิดแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราอาจจะต้องมานั่งคิดใหม่นะครับว่าในอุตสาหกรรมของเรานั้นใครคือผู้ที่ทำตัดสินใจซื้อจริงๆ ใช่เป็นผู้ซื้อ ผู้ใช้ หรือ ผู้มีอิทธิพล?

มีตัวอย่างขององค์กรที่ใช้กลยุทธ์ BOS อยู่มากมาย ถ้าในอดีตก็เช่นเจ้าแห่งสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง Southwest หรือ สำนักข่าว CNN ส่วนในเมืองไทยนั้นก็กล่าวกันว่าในช่วงแรกของ Rotiboy ก็ใช้ BOS หรือในปัจจุบัน Smart Purse ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้จ่ายตามร้านค้าต่างๆ ก็พยายามใช้ BOS อยู่ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์นั้นก็ยิ่งมีความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาแนวทางและโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมเดิมก็ยากที่นับวันแต่จะรุนแรงขึ้น และการแข่งขันก็จะมุ่งเน้นที่ราคามากขึ้นทุกขณะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเปลี่ยนอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์จาก Red Ocean ให้เป็น Blue Ocean ได้ ในองค์กรหลายๆ แห่งที่ยังคงมีการดำเนินงานใน Red Ocean อยู่ แต่ก็พยายามแสวงหาโอกาสเติบโตในธุรกิจใหม่ๆ ผ่านทาง Blue Ocean Strategy 


"BSC สูตรสำเร็จทางการบริหาร???".... เป็นบทความที่ 3 ที่เขียนให้กับผจก.รายสัปดาห์เมื่อปี 2002

Balanced Scorecard สูตรสำเร็จทางการบริหาร ???


ในช่วง 2 – 3  ปีที่ผ่านมาได้มีความตื่นตัวในเรื่องของ Balanced Scorecard กันมากในระดับหนึ่ง แต่ในปีใหม่นี้ผมมีความเห็นว่ากระแสความตื่นตัวในเรื่องของ Balanced Scorecard จะยิ่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในช่วงปลายปีที่ผ่านมาธนคารกสิกรไทยได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่ากำลังนำเอาระบบ Balanced Scorecard เข้ามาใช้ในการบริหารองค์กร ซึ่งธนาคารกสิกรไทยถือเป็นผู้นำขององค์กรธุรกิจในไทยอยู่แล้วในเรื่องของการนำเอาเครื่องมือทางการจัดการใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการบริหาร ท่านผู้อ่านคงจะจำได้ในเรื่องของ Reengineering ที่ธนาคารกสิกรไทยถือเป็นผู้บุกเบิกรายแรกๆ ในประเทศไทย สำหรับ Balanced Scorecard นั้นถึงแม้จะมีองค์กรชั้นนำของไทยหลายแห่งที่ได้มีการนำ Balanced Scorecard มาใช้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการประกาศออกมาอย่างชัดเจนและก่อให้เกิดกระแสเท่ากับการประกาศของธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ นอกจากองค์กรธุรกิจแล้วในส่วนของหน่วยงานราชการเอง ทางรัฐบาลกำลังเตรียมการให้มีการใช้ระบบงบประมาณในรูปแบบใหม่ที่เน้นที่ผลลัพธ์ของงานมากขึ้น ซึ่งในระบบงบประมาณใหม่นี้ต้องอาศัยในเรื่องของตัวชี้วัดและการประเมินผลเข้ามาช่วยพอสมควร ทำให้หน่วยราชการต่างๆ ต้องปรับตัวกันอย่างมากและบางแห่งก็เริ่มพิจารณาที่จะนำระบบ Balanced Scorecard และตัวชี้วัดมาใช้

จากความสนใจในเรื่องของ Balanced Scorecard ที่มีมากขึ้นทุกขณะ ทำให้ผู้บริหารบางท่านเริ่มมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับ Balanced Scorecard บางท่านคิดว่า Balanced Scorecard เป็นเครื่องมือหรือสูตรสำเร็จทางการบริหาร ที่เมื่อองค์กรได้มีการนำมาใช้แล้วจะทำให้การบริหารงานขององค์กรดีขึ้น บางท่านก็คิดว่า Balanced Scorecard เป็นระบบเครื่องมือชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการจับผิดและลงโทษพนักงาน ผมเองเริ่มมีความกังวลว่าความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้จะแพร่กระจายไปมากขึ้น ทำให้องค์กรนำ Balanced Scorecard ไปใช้โดยมีความคาดหวังที่ผิดพลาด รวมทั้งการนำ Balanced Scorecard ไปใช้อย่างผิดพลาด ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว Balanced Scorecard เป็นเพียงเครื่องมือทางการจัดการชนิดหนึ่งเท่านั้น Balanced Scorecard จะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เองมากกว่า

ในต่างประเทศนั้นได้มีการสำรวจครั้งหนึ่งในช่วงปี 1997 พบว่าองค์กรที่นำ Balanced Scorecard มาใช้มีอัตราของความล้มเหลวถึงร้อยละ 70 โดยที่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในขั้นตอนของการนำไปใช้ (Implement) ไม่ใช่ขั้นตอนของการออกแบบ (Design) จากอัตราความล้มเหลวในการนำ Balanced Scorecard ที่มีสูงถึงร้อยละ 70 แสดงให้เห็นว่า Balanced Scorecard ไม่ใช่เครื่องมือทางการจัดการสำเร็จรูปที่คิดจะนำมาใช้เมื่อไหร่เป็นสำเร็จเมื่อนั้น จะต้องมีการพิจารณาถึงประเด็นที่สำคัญในการนำไปปฏิบัติด้วย ผมได้รวบรวมประเด็นสำคัญต่างๆ ที่องค์กรจะต้องคำนึงถึงก่อนที่จะริเริ่มจัดทำหรือนำ Balanced Scorecard ไปใช้ โดยประเด็นที่องค์กรควรจะต้องคำนึงถึงประกอบด้วย

- บทบาทของผู้บริหารระดับสูง ผมมีความเห็นว่าการสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูงถือเป็นปัจจัยหลักที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับการจัดทำและนำ Balanced Scorecard มาใช้ ผมจะพูดอยู่เสมอว่า “ถ้าผู้บริหารสูงสุดไม่สนับสนุน Balanced Scorecard แล้ว ไม่ต้องไปทำให้เสียเวลา” สาเหตุที่ผมกล่าวเช่นนี้เนื่องจาก Balanced Scorecard ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการจัดการทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือที่จะต้องสอดคล้องและสนับสนุนต่อกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งการตัดสินใจในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นจากผู้บริหารระดับสูงเป็นหลัก นอกจากนี้ Balanced Scorecard ยังเป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร และการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งมักจะเกิดการต่อต้านเกิดขึ้น ทำให้ผู้บริหารระดับสูงจะต้องเข้ามามีบทบาทที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ การสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูงนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่การสนับสนุนโดยลมปากเท่านั้น แต่จะต้องสนับสนุนทั้งการกระทำและการทุ่มเททรัพยากรขององค์กรเข้าไปด้วย การที่ผู้บริหารระดับสูงกล่าวสนับสนุนเพียงแค่ลมปากเท่านั้นจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย

- นอกเหนือจากการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้บริหารระดับสูงแล้ว การยอมรับและทุ่มเทของผู้บริหารระดับกลางหรือผู้บริหารในหน่วยงานต่างๆ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริหารเหล่านี้จะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำ Balanced Scorecard มาใช้ในการปฏิบัติ ถ้าผู้บริหารเหล่านี้ไม่รับรู้และให้ความสำคัญกับ Balanced Scorecard แล้ว โอกาสที่ Balanced Scorecard จะประสบความสำเร็จก็คงจะยาก

- ในการจัดทำและนำ Balanced Scorecard ไปใช้นั้นผมขอแนะว่าถ้าคิดจะทำก็จงทำเลยครับ อย่ารอหรือเงื้อง้าอยู่นะครับ สาเหตุที่เขียนเช่นนี้คงไม่ใช่จะเชียร์หรืออะไรหรอกนะครับ แต่ในการทำ Balanced Scorecard นั้นผมมีความเห็นว่าอย่าไปรอให้ระบบมันสมบูรณ์แล้วค่อยนำไปใช้ แต่ถ้าออกแบบมาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขอให้นำไปใช้เลยครับ เนื่องจาก Balanced Scorecard จะไม่มีวันสมบูรณ์ได้ถ้าเราไม่ได้เริ่มนำไปใช้ ถ้าท่านผู้อ่านมัวแต่รอให้ตัวชี้วัดที่สร้างขึ้นมามีความถูกต้อง หรือรอให้เป้าหมายที่กำหนดขึ้นมามีความเหมาะสม หรือ รอให้ข้อมูลของตัวชี้วัดมีสมบูรณ์ ท่านผู้อ่านก็คงต้องรอต่อไปเรื่อยๆ นะครับ ผมขอแนะนำว่าถ้าออกแบบเสร็จแล้วจงใช้ไปเลยแล้วค่อยพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ Balanced Scorecard เป็นเครื่องมือที่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลานะครับ ไม่ใช่ว่าพอทำเสร็จแล้วสามารถใช้ได้ไปอีก 10 ปี ถ้าสภาวะการแข่งขันเปลี่ยน กลยุทธ์ขององค์กรเปลี่ยน Balanced Scorecard ก็ย่อมต้องมีการเปลี่ยน มีองค์กรแห่งหนึ่งในประเทศไทย เมื่อทำ Balanced Scorecard มาครบ 1 ปีแล้วได้มีการพิจารณาตัวชี้วัดที่ใช้ ปรากฏว่าองค์กรแห่งนี้ตัดสินใจโยนตัวชี้วัดที่ได้สร้างมาครั้งแรกทิ้งไป 1/3 ของตัวชี้วัดทั้งหมด เนื่องจากตัวชี้วัดที่สร้างขึ้นมาครั้งแรกไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์และบอกให้ผู้บริหารรู้ในสิ่งที่ต้องการ 

- อย่าลืมในเรื่องของการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับพนักงานในเรื่องของ Balanced Scorecard นะครับ ถึงแม้การจัดทำ Balanced Scorecard จะเริ่มต้นจากผู้บริหารระดับสูงก่อน แต่พนักงานในทุกระดับควรที่จะได้รับรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Balanced Scorecard โดยเฉพาะอย่างเมื่อ Balanced Scorecard จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนกับทั้งตัวองค์กรและพนักงานแล้ว ถ้าเกิดความเข้าใจที่ผิดๆ ขึ้นย่อมส่งผลเสียกับทั้งการยอมรับและการนำไปปฏิบัติของพนักงาน ตัวอย่างในหลายๆ องค์กรที่ผมได้ประสบมากับตัวเองก็คือในบางแห่งที่ไม่ได้มีการสื่อสารและทำความเข้าใจกับพนักงานในหลักการและแนวคิดของ Balanced Scorecard ทำให้พนักงานมองว่า Balanced Scorecard เป็นเครื่องมือที่ผู้บริหารจะนำมาใช้ในการจับผิดและลดจำนวนพนักงาน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ Balanced Scorecard และก่อให้เกิดการต่อต้านเกิดขึ้นเมื่อได้มีการนำ Balanced Scorecard มาใช้

- จะต้องมีการสื่อสารจากผู้บริหารไปยังพนักงานทั้งองค์กรถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะนำ Balanced Scorecard มาใช้ รวมทั้งความสม่ำเสมอและความต่อเนื่องของตัวผู้บริหาร อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดว่า Balanced Scorecard เป็นเพียงแค่ “โครงการประจำเดือน (Program of the Month)” อีกโครงการหนึ่งที่ผู้บริหารนำมาใช้ พอผู้บริหารหายเห่อแล้วโครงการนี้ก็จะค่อยๆ หายไป เหมือนเครื่องมือทางด้านการจัดการอื่นๆ ที่นำมาใช้ ดังนั้นการสื่อสารรวมทั้งการแสดงออกของผู้บริหารต่อ Balanced Scorecard จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องมีและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

- ต้องมีการลงทุนทั้งในด้านของเงิน เวลา และภาระงาน ในเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลที่จะใช้สนับสนุน Balanced Scorecard ทั้งในด้านของการจัดหา จัดเก็บ และ การนำเสนอข้อมูล ทั้งนี้เนื่องจากถ้า Balanced Scorecard ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเข้ามาป้อนแล้ว Balanced Scorecard นั้นก็จะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ทำให้ในปัจจุบันองค์กรที่นำ Balanced Scorecard เริ่มคิดและนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ร่วมกันมากขึ้น

คงจะเห็นนะครับว่ามีปัจจัยหลายประการที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณาและคำนึงถึงในการนำ Balanced Scorecard ไปใช้ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะต้องมีปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับองค์กรแต่ละแห่ง Balanced Scorecard จึงไม่ใช่สูตรสำเร็จทางการบริหารที่รับประกันได้ว่านำมาใช้เมื่อไหร่แล้วจะสำเร็จเมื่อนั้น โอกาสของความล้มเหลวก็มีอยู่ค่อนข้างมากพอสมควร 


Sunday, February 23, 2014

"Balanced Scorecard กับธุรกิจขนาดกลางและย่อม"....เขียนขึ้นมาในปี 2002 แต่จำไม่ได้ว่านำลงในสื่อใด

การนำ Balanced Scorecard มาใช้กับธุรกิจขนาดกลางและย่อมของไทย



ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง Balanced Scorecard กำลังได้ความสนใจและตื่นตัวเป็นอย่างมากทั้งจากนักวิชาการและผู้บริหารขององค์กรต่างๆ องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มนำแนวคิดในด้านนี้มาใช้ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มบริษัทชินวัตร บริษัท AIS บริษัทเทเลคอมเอเซียและบริษัทในเครือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยพร้อมทั้งบริษัทในเครือ ธนาคารกสิกรไทย ฯลฯ โดยผู้บริหารขององค์กรเหล่านี้ต่างก็มีความเชื่อมั่นว่าการนำ Balanced Scorecard (BSC) มาใช้จะช่วยให้องค์กรของตนประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากองค์กรธุรกิจแล้วหน่วยราชการหลายๆ แห่งก็ได้เริ่มนำเอา BSC มาใช้ ทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) ได้ประยุกต์แนวคิดของ BSC มาใช้ในการประเมินหน่วยราชการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การได้เงินรางวัลประจำปีของหน่วยราชการแต่ละแห่ง นอกจากองค์กรขนาดใหญ่และหน่วยราชการแล้ว ธุรกิจขนาดกลางและย่อมหลายๆ แห่งในประเทศไทยก็ได้เริ่มที่จะนำแนวคิดนี้มาช่วยในการบริหารบ้างแล้ว อย่างไรก็ดีเนื่องจากสภาวะและข้อจำกัดในหลายๆ ประเด็นของธุรกิจขนาดกลางและย่อม ทำให้การนำ BSC มาใช้ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับขนาดของธุรกิจและข้อจำกัดเหล่านั้น คำถามหนึ่งที่มักจะได้รับคือธุรกิจขนาดกลางและย่อมสามารถที่จะนำหลักการของ Balanced Scorecard มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กรเช่นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่หรือไม่ และถ้านำมาใช้แล้วผลสำเร็จที่จะได้รับจะคุ้มค่าหรือไม่? บทความนี้คงจะช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้ แต่ก่อนที่จะไปตอบคำถามดังกล่าวผมขออนุญาตนำท่านผู้อ่านไปรู้จักและทำความเข้าใจต่อแนวคิดทางการจัดการที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในปัจจุบัน

Balanced Scorecard ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Robert Kaplan จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ David Norton ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางด้านการจัดการ โดยแนวคิดด้าน Balanced Scorecard ปรากฏโฉมขึ้นครั้งแรกในวารสาร Harvard Business Review ในปี ค.ศ. 1992 แรกเริ่มเดิมที่นั้น Balanced Scorecard ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร เนื่องจากในอดีตนั้นผู้บริหารมักจะประเมินผลโดยมุ่งเน้นทางด้านการเงินเป็นหลัก ซึ่งในการแข่งขันยุคใหม่การประเมินผลโดยอาศัยตัววัดทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดและไม่เพียงพอ Kaplan และ Norton ก็เลยเสนอว่าแทนที่ผู้บริหารจะประเมินผลโดยมุ่งเน้นทางด้านการเงิน (Financial Perspective) เพียงอย่างเดียว ก็ควรจะประเมินจากด้านอื่นๆ ด้วยทั้งด้านลูกค้า (Customer Perspective) ด้านกระบวนการภายใน (Internal Process Perspective) และด้านการเรียนรู้และพัฒนา (Learning and Growth Perspective) อย่างไรก็ดีเมื่อองค์กรต่างๆ ได้มีการนำเอาหลักการและแนวคิดในเรื่องของ Balanced Scorecard ไปใช้มากขึ้น ทำให้แนวคิดในเรื่องของ Balanced Scorecard ได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา จากเดิมเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการประเมินผลองค์กร กลายมาเป็นเครื่องมือในการนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ และในปัจจุบันได้กลายเป็นระบบการบริหาร (Management Systems) ในองค์กรหลายๆ แห่ง

ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า Balanced Scorecard จะเป็นระบบการบริหารได้อย่างไรในเมื่อที่ใช้กันส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้นจะมุ่งเน้นในการใช้ Balanced Scorecard เป็นเครื่องมือในการสร้างระบบการประเมินผลและตัวชี้วัดภายในองค์กรมากกว่า จริงๆ แล้วถ้าองค์กรใดนำ Balanced Scorecard มาใช้อย่างเต็มที่และเต็มรูปแบบแล้วจะพบว่าเราไม่จำเป็นต้องเรียกสิ่งที่ทำอยู่ว่าเป็น Balanced Scorecard ก็ได้ ในเมื่อมันเป็นเพียงแค่ระบบการบริหาร (Management Systems) ในการบริหารองค์กรเท่านั้น เพียงแต่เป็นระบบที่ผู้บริหารมักจะละเลยและไม่ค่อยได้ให้ความสนใจและเอาใจใส่เท่าไหร่ แต่เมื่อนำมาใช้ภายใต้ชื่อของ Balanced Scorecard แล้วทำให้ผู้บริหารให้ความสนใจและตื่นตัวมากขึ้น 

Balanced Scorecard สามารถกลายเป็นระบบการบริหารภายในองค์กรได้โดยเริ่มต้นจากการนำกลยุทธ์ที่มีอยู่ภายในองค์กร มาอธิบายและสื่อสารด้วยแผนที่ทางกลยุทธ์ (Strategy Map) จากนั้นจะต้องมีการกำหนดตัวชี้วัด (Measures) หาข้อมูลปีฐาน (Baseline Data) กำหนดเป้าหมาย (Target) และ สิ่งที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย (Initiatives) จาก Initiatives แล้วองค์กรสามารถที่แตกออกเป็นแผนปฏิบัติการและงบประมาณที่ต้องใช้ หลังจากนั้นเมื่อองค์กรได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติที่กำหนดแล้ว เมื่อผลการดำเนินงานในแต่ละเดือนหรือไตรมาสเริ่มเข้ามา ผู้บริหารก็ย่อมสามารถที่จะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นกับเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ถ้าผลการดำเนินงานไม่บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารก็จะต้องเรียนรู้และปรับเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินงานใหม่เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากระบบดังกล่าวท่านผู้อ่านคงพอจะเห็นนะครับว่าถ้าจะใช้กันอย่างเต็มรูปแบบจริงๆ Balanced Scorecard นั้นก็คือระบบการบริหารภายในองค์กรดีๆ นั้นเอง ซึ่งถ้าจะถามว่าสามารถนำมาใช้ในธุรกิจขนาดกลางและย่อมได้หรือไม่นั้น คงจะตอบได้สั้นๆ และง่ายๆ ว่า ‘ได้’ และถ้านำมาใช้อย่างถูกหลักการแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดกลางและย่อมอย่างมากมายมหาศาล

อย่างไรก็ดีมีหลายคนกล่าวว่า Balanced Scorecard เป็นหลักการที่อ่านหรือฟังแล้วสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริงๆ ภายในองค์กรนั้นกลับไม่ง่ายเหมือนที่อ่านหรือฟังมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย จริงๆ แล้ว Balanced Scorecard ถือเป็นเครื่องมือทางการจัดการที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก องค์กรแต่ละแห่งก็นำ Balanced Scorecard มาใช้ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อมในไทยจะนำ Balanced Scorecard มาใช้จึงควรจะพิจารณาในวัตถุประสงค์ของการนำมาใช้ให้ชัดเจนและถ่องแท้ก่อน ทั้งนี้เนื่องจาก Balanced Scorecard จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลองค์กรก็ได้ ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างตัวชี้วัดของผู้บริหารและพนักงานในระดับต่างๆ ก็ได้ ใช้เป็นเครื่องมือที่ทำให้ทุกคนในองค์กรให้ความสำคัญและสนใจต่อกลยุทธ์ก็ได้ ใช้เป็นเครื่องมือในการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติก็ได้ ใช้เป็นระบบในการบริหารขององค์กรตามที่ได้นำเสนอมาแล้วก็ได้ หรือ แม้กระทั่งในหมู่ผู้ที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย Balanced Scorecard ก็สามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการลงโทษพนักงานก็ได้

จะเห็นได้ว่าการนำ Balanced Scorecard มาใช้ในธุรกิจขนาดกลางและย่อมนั้นคงจะต้องเริ่มจากการที่ผู้บริหารได้ถามตัวเองก่อนว่าต้องการนำ Balanced Scorecard มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด จากเท่าที่ได้สัมผัสมาพบว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อมในเมืองไทยนำเอา Balanced Scorecard มาใช้โดยมีวัตถุประสงค์หลักๆ อยู่ที่การสร้างระบบในการประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร และความพยายามในการแปลงแผนกลยุทธ์ขององค์กรสู่การปฏิบัติของพนักงานมากที่สุด สาเหตุที่ธุรกิจขนาดกลางและย่อมนำ Balanced Scorecard มาใช้ด้วยวัตถุประสงค์ทั้งสองประการนี้อาจจะเนื่องจากธุรกิจขนาดกลางและย่อมในประเทศไทยยังขาดระบบในการประเมินผลในการดำเนินงานที่ดี ทำให้ผู้บริหารมีปัญหาในการวางแผนและการตัดสินใจเนื่องจากการขาดข้อมูลสำคัญๆ ในการดำเนินงาน ถึงแม้องค์กรส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาในเรื่องของข้อมูลทางด้านการเงิน แต่ธุรกิจขนาดกลางและย่อมยังขาดระบบที่จะทำให้รู้ถึงสถานะและข้อมูลทางด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของลูกค้า ด้านการดำเนินงานภายใน หรือด้านองค์กรและบุคลากร ซึ่งแนวคิดและหลักการของ Balanced Scorecard สามารถที่จะเข้ามาเติมช่องว่างในด้านของข้อมูลและการประเมินผลที่ผู้บริหารของธุรกิจขนาดกลางและย่อมต้องการได้

ส่วนสาเหตุที่ผู้บริหารธุรกิจขนาดกลางและย่อมนำ Balanced Scorecard มาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัตินั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากคุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของธุรกิจขนาดกลางและย่อมไทย  นั้นก็คือธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะก่อตั้งโดยผู้ประกอบการหรือผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้ผู้บริหารระดับรองๆ ลงมาและพนักงานขององค์กรไม่สามารถตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดขึ้นมาได้ ดังนั้นผู้บริหารเหล่านั้นจึงได้นำ Balanced Scorecard มาใช้เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการแปลงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ตนเองคิดขึ้นไปสู่แผนปฏิบัติการที่ผู้บริหารระดับรองๆ ลงมาและพนักงานทั่วไปสามารถที่ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามได้อย่างชัดเจน 


ในฉบับนี้ท่านผู้อ่านคงพอจะได้รับทราบเกี่ยวกับหลักการและแนวคิดเบื้องต้นของ Balanced Scorecard พร้อมทั้งสาเหตุที่ธุรกิจขนาดกลางและย่อมนำ Balanced Scorecard มาใช้ ในฉบับหน้าเราจะมาติดตามกันต่อว่าอะไรคือข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของการนำเอา Balanced Scorecard มาใช้ในธุรกิจขนาดกลางและย่อม และถ้าธุรกิจเหล่านั้นต้องการนำเอา Balanced Scorecard มาใช้จะต้องเริ่มต้นอย่างไร พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่อาจจะต้องเผชิญ

"การทำ Benchmarking เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร"......เป็นบทความที่เขียนขึ้นในปี 2002 และตีพิมพ์ในวารสารของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การทำ Benchmarking เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของบริบทต่างๆ



ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ต่างๆได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆทั้งองค์กรธุรกิจและองค์กรภาครัฐจะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สามารถรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ ต่างพยายามที่จะพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานของแต่ละองค์กรด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน เช่น การศึกษาจากทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่ การจ้างที่ปรึกษาจากภายนอก หรือการเข้ารับการอบรม อย่างไรก็ดีวิธีการต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิดความยุ่งยากและสับสนแก่ผู้บริหารอย่างมากมาย รวมทั้งยังไม่มีสิ่งใดที่จะรับประกันได้ว่าทฤษฎีหรือความรู้ใหม่ๆที่ได้ศึกษามา จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในทางปฎิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในปัจจุบันได้มีองค์กรจำนวนมากที่ได้หันกลับมาใช้วิธีเก่าแก่ที่เคยใช้มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ นั้นก็คือการศึกษาและเรียนรู้จากองค์กรอื่น ทั้งที่เป็นคู่แข่งขันและองค์กรที่เป็นเลิศในด้านต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้คือการทำ Benchmarking

คำว่า Benchmarking มีที่มาจากการทำงานของทีมนักสำรวจด้านที่ดิน โดยคำว่า Benchmark หมายถึงรอยสลักหรือหมุดรังวัดที่ทำไว้บน ก้อนหิน กำแพง หรือ ตึก เพื่อใช้แสดงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงตำแหน่งของแต่ละบุคคล หรือ แสดงถึงระดับความสูงในการสำรวจด้านภูมิประเทศ ดังนั้น Benchmark จึงแสดงถึงจุดที่สามารถสังเกตได้เพื่อใช้ในการวัด หรือ ใช้เป็นมาตรฐานเพื่อที่ผู้อื่นสามารถที่จะวัดหรือเปรียบเทียบได้

ในปัจจุบันการทำ Benchmarking ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากองค์กรต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเรียนรู้ในสิ่งที่องค์กรอื่นทำและนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานของตนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งการที่จะทำความเข้าว่าเพราะเหตุใด Benchmarking จึงประสบความสำเร็จและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายนั้น จะต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของการวางแผนกลยุทธ์เสียก่อน โดยที่การวางแผนกลยุทธ์เริ่มมาจากการวางแผนระยะยาวในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเป็นการวางแผนล่วงหน้าโดยมีพื้นฐานมาจากการพยากรณ์ทางด้านสถิติ ต่อมาการวางแผนด้านกลยุทธ์ได้มีการแตกขยายออกมาอีกมากมาย โดยจะพิจารณาภาพรวมขององค์กรในด้านต่างๆ เช่น อะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส ข้อจำกัดขององค์กร พิจารณาความสามารถในการแข่งขัน การเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ความน่าสนใจของอุตสาหกรรมหรือตลาดต่างๆ และ องค์กรธุรกิจควรจะแข่งขันกับผู้ใดหรือควรจะหลีกเลี่ยงใคร แต่การวิเคราะห์ทางกลยุทธ์เหล่านี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงวิธีการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน นอกจากนี้ผู้ที่จัดทำกลยุทธ์มักจะเป็นผู้บริหารระดับสูงซึ่งไม่สามารถเข้าใจการดำเนินงานในระดับปฎิบัติการอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงได้เกิดการทำ Benchmark ขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งซึ่งทดแทนการจัดการกลยุทธ์แต่เป็นสิ่งซึ่งช่วยเสริมการจัดการและการวางแผนทางกลยุทธ์ให้มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง การทำ Benchmark สามารถใช้พิจารณาถึงวิธีหรือกระบวนการในการกระทำกิจกรรมต่างๆและไม่ได้จำกัดตนเองอยู่เฉพาะการวิเคราะห์คู่แข่งขันเท่านั้น แต่สามารถ Benchmark ได้กับองค์กรทุกแห่งที่มีกิจกรรมหรือกระบวนการทำงานที่มีลักษณะที่คล้ายกัน นอกจากนี้ผู้ที่ทำ Benchmark คือผู้ที่อยู่ในระดับปฎิบัติการจริงๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาต่างๆลงไปได้มาก

การทำ Benchmark เริ่มเป็นที่นิยมในอเมริกาเมื่อบริษัท Xerox ได้นำมาใช้ในช่วงทศวรรษที่ 1970 โดย Xerox ได้นำเอาการทำ Benchmarking มาประยุกต์ใช้กับองค์กรตนเองในมุมมองที่มากกว่าเพียงการเป็นจุดเปรียบเทียบ David Kearns อดีตประธานบริหารของ Xerox ได้กล่าวไว้ว่า “Benchmarking is the continuous process of measuring products, services, and practices against the toughest competitors or those companies recognized as industry leaders”

ภายในช่วงทศวรรษที่ 1980 การทำ Benchmarking ได้มีการเติบโตขึ้นและชัดเจนมากยิ่งขึ้นซึ่งได้ครอบคลุมในรายละเอียดและเนื้อหาต่างๆมากขึ้น โดยได้มีคำจำกัดความต่างๆออกมามากมาย เช่น

“A process for rigorously measuring your performance versus the best-in-class companies and for using the analysis to meet and surpass the best-in-class”
(Kaiser Associates, a management consulting firm that has actively promoted benchmarking)

 “A standard of excellence or achivement against which other similar things must be measured or judged”
(Sam Bookhart, former manager of benchmarking at DuPont Fibers)

 “Benchmarking is the search for industry best practives that lead to superior performance”
(Robert C. Camp, a Xerox Corporation manager, author of Benchmarking: The Search for Industry Best Practives, and one of the foremost benchmarking experts at Xerox Corporation)

 “The process of improving performance by continuously identifying, understanding, and adapting outstanding practices and processes found inside and outside the organization”
(American Productivity and Quality Center (International Benchmarking Clearinghouse)

“Benchmarking is the practice of being humble enough to admit that someone else is better at something and nise enough to try and learn how to match and even surpass them at it.”

ตัวอย่างกรณีศึกษาการนำเอาการทำ Benchmarking มาประยุกต์ใช้จนประสบความสำเร็จของ Xerox 

Xerox เป็นบริษัทผู้คิดค้นและผลิตเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จเป็นรายแรกในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเครื่องถ่ายเอกสารของ Xerox ได้นำเอาความสะดวกสบายและความรวดเร็วมาสู่ผู้บริโภคมากขึ้น ในช่วงหลายปีแรกของการดำเนินงาน Xerox ประสบความสำเร็จกับการขายเครื่องถ่ายเอกสารเป็นอย่างมากเนื่องจากการที่เป็นผู้ผลิตแต่เพียงรายเดียวในตลาด ทำให้ได้รับการปกป้องจากสิทธิบัตรและมีอัตราการเติบโตที่เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลในช่วงแรกๆ ทำให้ Xerox มีลักษณะที่อืดอาด เชื่องช้า และยึดติดกับความสำเร็จของตนเองตลอดช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ซึ่งในปี 1975 Xerox เป็นผู้นำในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารทั่วโลกด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 75 และในช่วงระยะห้าปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัทได้เพิ่มขึ้นกว่าปีละ 25% อย่างไรก็ดีพอเริ่มทศวรรษที่ 1980 การเปลี่ยนแปลงทางด้านการแข่งขันได้เกิดขึ้น ส่วนแบ่งตลาดของ Xerox ได้ลดน้อยลงกว่า 50% Xerox ได้เริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและได้เริ่มที่จะมีกิจกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นเพื่อหาทางแก้ไขความตกต่ำที่เกิดขึ้น โดย Xerox ได้เริ่มการทำ Competitive Benchmarking ในหน่วยงานบางหน่วยและผู้บริหารของ Xerox ก็ได้เริ่มเห็นความสำคัญของการทำ Benchmarking มากขึ้น โดยในปี 1981 ได้มีการทำ Benchmarking อย่างแพร่หลายไปทั้งบริษัท 
การทำ Benchmarking ของ Xerox เป็นการศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียดกับคู่แข่งขันหรือบริษัทที่คิดว่าดีที่สุด โดยแต่ละแผนกหรือฝ่ายของ Xerox จะทำการเปรียบเทียบตนเองกับแผนกในลักษณะเดียวกันของบริษัทที่คิดว่าดีที่สุด 

ความพยายามของ Xerox ได้ประสบผลในปี 1989 โดย Xerox ได้รับรางวัล Malcolm Baldrige National Quality Award ซึ่งแสดงถึงคุณภาพในการดำเนินงานของบริษัท นอกจากนี้ยังสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้เกือบหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่การแข่งขันในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารทวีความรุนแรงขึ้นจากในอดีต ความสำเร็จของ Xerox จากการทำ Benchmarking ได้ถือเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างในการทำ benchmarking ขององค์กรอีกหลายๆแห่ง

ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา องค์กรต่างๆทั้งเอกชนและราชการได้ในอเมริกาได้หันมาให้ความนิยมกับการทำ Benchmarking กันมากขึ้น นอกจากนี้ในการตัดสิน Malcolm Baldrige National Quality Award ของอเมริกายังได้รวมเอาการทำ Benchmarking เข้าไปเป็นเกณฑ์ในการตัดสินประการหนึ่ง 

นอกจากในอเมริกาแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับการทำ Benchmarking ก็ได้ขยายไปสู่ภูมิภาคต่างๆทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากผลการสำรวจของ The Benchmarking Centre Limited ในปี 1993 พบว่า

๐ กว่าร้อยละ 70 ของบริษัทในอังกฤษที่มีการทำ Benchmarking ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
๐ ร้อยละ 89 ของบริษัทที่ทำ Benchmarking พบว่าการหาองค์กรเป้าหมายหรือพันธมิตรที่ดีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด
๐ เพียงร้อยละ 50 ที่ทำการ Benchmark กับองค์กรหรือกระบวนการที่ดีที่สุด
๐ ร้อยละ 79 เห็นว่าการฝึกอบรมเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำ Benchmarking

โดยสรุปแล้ว Benchmarking หมายถึงกระบวนการที่เป็นระบบในการค้นหาและเรียนรู้ วิธีการในการปฏิบัติที่ดีที่สุดเข้ามาใช้ภายในองค์กร กิจกรรมที่สำคัญในการทำ Benchmark คือการค้นหาองค์กรที่มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า หรือ ดีที่สุดที่อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน หรือมีกระบวนการในการดำเนินงานที่เหมือนกับองค์กรของตน หลักการที่สำคัญของการทำ Benchmark คือการพยายามทำความเข้าใจว่าองค์กรอื่น ๆ มีวิธีการอย่างไรในการปฏิบัติให้มีผลการดำเนินงานที่ออกมาดีเลิศ และพยายามประสานแนวความคิดหรือวิธีในการปฏิบัติขององค์กรอื่น ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรของตนเอง Benchmarking เปรียบเสมือนการถ่อมตัวว่ามีผู้อื่นหรือองค์กรอื่นที่เก่ากว่าหรือดีกว่าเราและรู้จักที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นที่เก่ากว่าเพื่อให้ตัวเราเก่าเท่าหรือเก่งกว่าผู้อื่น Benchmarking สามารถช่วยตอบคำถามที่สำคัญสามประการเพื่อนำไปสู่การจัดทำกลยุทธ์ขององค์กร ได้แก่
๐ ในปัจจุบันองค์กรของเราอยู่ ณ จุดไหน (Where are we now)
๐ องค์กรของเราต้องการมุ่งไปสู่จุดไหน (Where do we want to get to)
๐ ด้วยวิธีการใดที่เราสามารถไปถึงจุดๆนั้น (How do we get there)

วัตถุประสงค์และสาเหตุของการทำ Benchmarking

คงจะเป็นที่ชัดเจนว่าในหน่วยงานธุรกิจการทำ Benchmarking ก็เพื่อที่จะรักษาไว้หรือเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของแต่ละบริษัท แต่ในขณะที่หน่วยงานราชการซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการแข่งขันเพื่อส่วนแบ่งตลาดใดๆก็ควรที่จะมีการทำ Benchmarking ด้วยเช่นกันเนื่องจากการทำ Benchmarking สามารถที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเทคนิคในการบริหารของหน่วยงานนั้นๆให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เนื่องจาก Benchmarking เป็นการเปรียบเทียบ และเมื่อเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาก็จะกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้การดำเนินงานของแต่ละบุคคลหรือทั้งองค์กรดีขึ้น การทำ Benchmarking  ทำให้ทั้งผู้บริหารและพนักงานทราบว่าตัวองค์กรหรือการดำเนินงานต่างๆขององค์กรเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับผู้นำในอุตสาหกรรม การเปรียบเทียบการดำเนินงานของตนเองเทียบกับผู้อื่นทำให้คนในองค์กรเกิดความคิดสร้างสรรค์และวิธีการใหม่ในการดำเนินงาน การเปรียบเทียบไม่ว่าจะเป็นระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรหรือกับหน่วยงานหรือองค์กรอื่น ๆ เป็นแหล่งสำคัญในการเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ นักวิชาการต่างบอกว่าการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพในการดำเนินงานจะเกิดขึ้นสูงสุดเมื่อมีการเปรียบเทียบกับแหล่งภายนอก 
องค์กรต่างๆในอเมริกาทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำหลักการเรื่อง Benchmarking มาประยุกต์ใช้และพบว่ามีการเพิ่มขึ้นในด้านต่างๆอย่างชัดเจน อาทิเช่น กระบวนการในการทำงาน คุณภาพในการให้บริการ ความพึงพอใจของลูกค้า ความสามารถในการดำเนินงานของพนักงานและค่าใช้จ่ายที่ลดลง สาเหตุที่สำคัญที่ทำให้การทำ Bechnmarking เป็นนิยมอย่างกว้างขวาง ได้แก่

1. เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มพูนความสามารถในการดำเนินงานขององค์กร เนื่องจากผู้บริหารสามารถเลิกวิธีแบบเก่าๆในการเพิ่มพูนประสิทธิภารในการทำงานอันได้แก่การลองผิดลองถูก โดยสามารถใช้กระบวนการหรือวิธีการที่ผู้อื่นได้ใช้จนประสบผลสำเร็จ และนำเอาวิธีการหรือกระบวนการเหล่านี้มาประยุกต์และพัฒนาให้เข้ากับองค์กรของตนเอง

2. ช่วยให้การเพิ่มพูนความสามารถขององค์กรต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันเวลาได้กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อสภาพการแข่งขันในด้านต่างๆ องค์กรต่างๆจึงพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆภายในเวลาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น การเรียนรู้จากความสำเร็จของผู้อื่นสามารถร่นระยะเวลาในการเรียนรู้ที่องค์กรจะต้องเผชิญเมื่อเทียบกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งส่งผลให้การปรับปรุงและเพิ่มพูนความสามารถในการดำเนินงานด้านต่างๆขององค์กรเป็นไปอย่างรวเร็วยิ่งขึ้น

ถ้าจะถามคำถามกับผู้บริหารในองค์กรที่ได้มีการทำ Benchmarking ว่าทำไมถึงต้องมีการทำ Benchmarking ก็คงจะได้รับคำตอบว่าเพราะต้องทำ เนื่องจากเป็นการหาผู้ที่เก่งหรือดีที่สุด ศึกษาและเรียนรู้จากพวกเขาและนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ปฎิบัติภายในองค์กรของตนเอง ซึ่งเป็นความคิดถูกต้องและชอบด้วยเหตุุผลที่ผู้บริหารที่มีความคิดทั้งหลายพึงกระทำ เช่นเดียวกับสุภาษิตโบราณที่ว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้ ความรู้ที่สะสมไว้ขององค์กรต่างๆหลายๆแห่งจะสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดีกว่าการแก้ปัญหาโดยองค์กรเดียว องค์กรอื่นหลายแห่งได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงการดำเนินงานต่างๆให้ดีขึ้น

จากผลการศึกษาของ American Productivity & Quality Center’s International Benchmarking Clearinghouse ในปี 1995 พบว่าการทำ Benchmarking ก่อให้เกิดผลตอบแทนอย่างมากมาย องค์กรมากกว่า 30 แห่งรายงานถึงผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้รับภายในปีแรกจากการทำ Benchmarking ถึง $76 ล้าน ในขณะที่บริษัทที่มีประสบการณ์ในการทำ Benchmarking มาก่อนจะได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยถึง $189 ล้าน จากการศึกษานี้ยังได้บ่งชี้อีกว่าสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้การทำ Benchmarking ประสบความสำเร็จนั้นได้แก่ การสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูง และวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อให้มีการเสาะหาและประยุกต์ใช้แนวความคิดใหม่ๆจากภายนอกองค์กร

ลักษณะที่สำคัญของ Benchmarking

Benchmarking ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญสองส่วนหลักๆได้แก่ (1) การกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานขององค์กรโดยใช้วัตถุประสงค์และมาตรฐานจากแหล่งภายนอกองค์กร (2) การเรียนรู้จากผู้อื่นทั้งในเชิงตัวเลขและวิธีการ จะเห็นได้ว่าการทำ Benchmarking ไม่ใช่การกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายให้ได้เท่ากับองค์กรชั้นนำอื่นๆโดยไม่พิจารณาถึงวิธีการที่องค์กรนั้นบรรลุเป้าหมายเป็นสิ่งซึ่งไร้ค่า การทำความรู้ความเข้าใจว่าองค์กรอื่นซึ่งประสบความสำเร็จมีกระบวนการในการทำงานหรือกิจกรรมอย่างไรจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้เป็นสิ่งซึ่งสำคัญ และเป็นหัวใจหลักของการทำ Benchmarking 

สิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารจะต้องระมัดระวังก็คือ การทำ Benchmarking อาจจะก่อให้เกิดอารมณ์หรือความรู้สึกที่ไม่ยอมรับเกิดขึ้นภายในองค์กร บางคนเกิดความรู้สึกว่าการทำ Benchmarking เป็นเรื่องที่ลึกลับหรือซับซ้อนเกินไปที่จะทำความเข้าใจ ในขณะที่บางองค์กรมักจะหาข้ออ้างให้กับตนเองว่าองค์กรของตนเองมีความเป็นเลิศอยู่แล้วทั้งทางด้านกระบวนการและผลการดำเนินงาน หรือมักจะอ้างว่ามีข้อมูลน้อยไปในอุตสาหกรรมที่จะทำการเปรียบเทียบได้ ผู้บริหารพึงระลึกอยู่เสมอว่า Benchmarking เป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้น เป็นกระบวนการที่ช่วยในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
Benchmarking นั้นเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายหรือทุกหน้าที่ภายในองค์กร ซึ่ง Benchmarking สามารถที่จะนำไปใช้ได้ในลักษณะต่างๆได้ดังนี้

๐ การจัดทำกลยุทธ์ เนื่องจากในปัจจุบันสภาวการณ์ต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การศึกษาถึงประสบการณ์และกลยุทธ์ขององค์กรอื่นย่อมนำประโยชน์มาสู่องค์กรของตนในท่ามกลางสภาวการณ์ต่างๆเช่นในปัจจุบัน

๐ เป็นประโยชน์สำหรับองค์กรที่สนใจการรื้อปรับระบบ (Reengineering) กระบวนการในการทำงาน เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้ในแง่มุมที่ผิดแผกไปจากเดิมโดยการศึกษาจากประสบการณ์ขององค์กรอื่น เช่น เมื่อบริษัท GTE จะทำการรื้อปรับระบบกระบวนการในการดำเนินงานด้านโทรศัพท์ ทางบริษัทได้ทำการศึกษาจากบริษัทต่างๆ 84 บริษัทในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆเพื่อให้ GTE สามารถที่จะพิจารณาหรือคิดถึงแง่มุมใหม่ๆในกระบวนการดำเนินงานของตน การทำการรื้อปรับระบบโดยไม่มีการทำ Benchmarking นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพการดำเนินงานเพียงแค่ 5-10% ไม่ใช่ 50-75% ตามที่ต้องการ Benchmarking ก่อให้เกิดการรื้อปรับระบบที่แท้จริง การศึกษาจากองค์กรภายนอกย่อมทำให้องค์กรสามารถนำเทคโนโลยี ทักษะ โครงสร้าง ความสามารถใหม่ๆเข้ามาประยุกต์ใช้ภายในองค์กรของตน

๐ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆขององค์กร เนื่องจากโดยปกติการแก้ปัญหาต่างๆขององค์กรมักจะไม่พิจารณาถึงภายนอกองค์กรเพื่อหาทางออกหรือทางแก้ไข การทำ Benchmarking จึงสามารถที่จะช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่างๆได้

๐ การทำ Benchmarking เป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อการเพิ่มพูนแนวความคิดและการเรียนรู้ ในด้านต่างๆ การทำ Benchmarking อยู่ตลอดเวลาเป็นการช่วยให้องค์กรเปิดรับในความคิดใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาของเทคโนโลยี
การทำ Benchmarking ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ได้มีผู้ให้ข้อคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์การทำ Benchmarking อย่างแพร่หลาย ซึ่งคำวิจารณ์ที่มักจะพบเห็นได้บ่อยๆได้แก่

1. Spying ผู้บริหารบางคนมีความเชื่อว่าการทำ Benchmarking คือการทำงานจารกรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าไปมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมของผู้บริหาร

2. Copycatting หรือการลอกเลียนแบบ ซึ่งเป็นการลอกเลียนแบบความคิดสร้างสรรของผู้อื่น ทำให้ความสามารถในการคิดสร้างสรรของบริษัทเองลดลง ซึ่งความจริงแล้วการทำ Benchmark ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้มีการลอกเลียนแบบกันเกิดขึ้นแต่เป็นวิธีการช่วยให้ผู้บริหารสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

3. Not Invented Here ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อการไม่ยอบรับในสิ่งต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากภายในองค์กรเอง นอกจากนี้ผู้บริหารอาจจะมีความเกรงกลัวว่าถ้าสิ่งที่ผู้อื่นทำสำเร็จไม่สามารถนำมาปฎิบัติได้ในองค์กรของตนแสดงว่าองค์กรของตนเองมีความแตกต่างจากผู้อื่น

ประเภทของการทำ Benchmarking

ได้มีความพยายามที่จะแบ่งการทำ Benchmarking ออกเป็นประเภทๆตามลักษณะต่างๆมากมาย แต่โดยสรุปแล้วสามารถที่จะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ โดยใช้เกณฑ์ที่สำคัญสองประการได้แก่ แบ่งตามลักษณะของการทำ Benchmarking และแบ่งตามกิจกรรมสำคัญที่จะทำ Benchmarking โดยการแบ่งตามลักษณะของการทำ Benchmarking สามารถแบ่งได้ดังนี้

1. Competitive Benchmarking 

เป็นการ Benchmark กับองค์กรที่เป็นคู่แข่งขันกันโดยตรง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบถึงองค์กรที่อยู่ในตลาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มีสินค้าหรือบริการหรือกระบวนการในการทำงานที่แข่งขันกันโดยตรง ข้อดีของการทำ Benchmarking ในลักษณะนี้คือทำให้องค์กรสามารถพิจารณาได้ว่าองค์กรของตนเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันแล้วเป็นอย่างไร และเป็นการง่ายในการวัดและเปรียบเทียบเนื่องจากสามารถวัดและเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน สำหรับข้อเสียได้แก่เป็นการยากที่จะหาข้อมูลที่ต้องการ โดยเฉพาะข้อมูลในรายละเอียด

การทำ Benchmarking ในลักษณะนี้ เป็นลักษณะที่มีความยากลำบากที่สุดในการทำ เนื่องจากองค์กรเป้าหมายมักจะไม่ให้ความร่วมมือหรือความสนใจต่อการทำ Benchmarking ขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งเป็นขั้นตอนที่เสียเวลามากที่สุดในการทำ Benchmarking มักจะไม่ได้รับความร่วมมือจากองค์กรเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าองค์กรเป้าหมายเป็นคู่แข่งด้วยแล้ว ซึ่งก็เป็นปกติที่คู่แข่งขันมักจะไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ถึงแม้การเก็บรวบรวมข้อมูลจากคู่แข่งขันเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้เสียเลย จะเห็นได้ว่ากรณีของ Xerox เองก็ได้มีการทำ Competitive Benchmarking จากผู้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารของญี่ปุ่นจนประสบความสำเร็จ

2. Cooperative Benchmarking 

เป็นการทำ Benchmarking ที่นิยมปฎิบัติกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน การทำ Benchmark ในลักษณะนี้องค์กรที่ต้องการทำ Benchmark จะติดต่อองค์กรเป้าหมาย ซึ่งมักจะเป็นองค์กรที่เป็นที่หนึ่งในแต่ละอุตสาหกรรม และขอความร่วมมือในการแบ่งปันความรู้กับทีมของตนที่จะเข้าไปทำ Benchmark องค์กรเป้าหมายมักจะไม่ใช่องค์กรที่เป็นคู่แข่งขันกันโดยตรงจึงมักจะไม่เกิดปัญหาในเรื่องของการรักษาความลับ ตามการทำ Benchmarking ในลักษณะนี้ความรู้และทักษะต่างๆมักจะมีการถ่ายทอดอยู่เพียงด้านเดียว นั้นคือจากองค์กรเป้าหมายไปยังองค์กรที่ต้องการทำ benchmark ในบางครั้งองค์กรเป้าหมายก็อาจจะได้รับผลตอบแทนในลักษณะต่างๆบ้าง

3. Collaborative Benchmarking

เป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน ตามลักษณะนี้องค์กรหลายแห่งได้ทำความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ในกิจกรรมหรือกระบวนการด้านต่างๆโดยมีความคาดหวังว่าจะเกิดการเรียนรู้ระหว่างกันเกิดขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาและเพิ่มพูนความสามารถในการดำเนินงาน เช่น ได้มีการรวมกลุ่มระหว่างบริษัทต่างๆ ทำการศึกษาถึงการนำข้อมูลด้านความพึงพอใจของลูกค้าไปใช้ โดยศึกษาจากบริษัทซึ่งเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ร่วมโครงการได้แก่ AT&T, IBM-Rochester, Motorola, Solectron, Zytec, MBNA ในบางกรณีอาจจะมีองค์กรอีกแห่งซึ่งคอยเป็นผู้รวบรวมและแจกจ่ายข้อมูลระหว่างองค์กรสมาชิก เช่น American Productivity and Quality Center (APQC) ซึ่งทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการทำ Benchmark ให้กับสมาชิกของตน ในบางครั้งความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆถึงแม้จะเรียกว่าเป็นการทำ Benchmarking แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านตัวเลขกันเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำถามที่ว่า ทำไม หรือ ทำอย่างไร ซึ่งการศึกษาในลักษณะนี้จะไม่ใช่ Benchmarking ตามความหมายที่ได้กำหนดไว้

4. Internal Benchmarking 

เป็นการทำ Collaborative Benchmarking วิธีหนึ่งแต่แทนที่จะทำกับองค์กรภายนอก จะเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆภายในองค์กรมากกว่า วิธีการนี้มักเป็นที่นิยมขององค์กรขนาดใหญ่ โดยองค์กรขนาดใหญ่เหล่านั้นจะศึกษาถึงกระบวนการหรือกิจกรรมชั้นยอดที่ได้มีการทำกันอยู่แล้วภายในองค์กรเอง เนื่องจากในองค์กรขนาดใหญ่จะมีหน่วยงานหลายแห่งที่มีกระบวนการหรือกิจกรรมต่างๆที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกัน การทำ Benchamarking ในลักษณะนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการกระจายข้อมูลหรือความรู้เหล่านั้นไปยังกลุ่มหรือหน่วยงานอื่นๆภายในอง์กร โดยปกติแล้วองค์กรขนาดใหญ่มักจะทำ Internal Benchmarking เป็นขั้นตอนแรกก่อนที่จะออกไปทำ Benchmark กับหน่วยงานภายนอก เนื่องจากสาเหตุที่สำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น เป็นการหาประสบการณ์และความรู้ในการทำ Benchmark ให้กับทีมที่จะทำ เนื่องจากจะได้รับความร่วมมือจากบุคคลภายในมากกว่าภายนอก หรือเป็นการเสริมสร้างความรู้หรือก่อนที่จะออกไปข้างนอก ซึ่งความรู้ที่ได้นี้อาจจะนำไปแลกเปลี่ยนกับการทำ Benchmark หน่วยงานอื่น
การทำ Benchmarking ในลักษณะนี้เป็นวิธีที่ประหยัดและง่ายที่สุด ข้อได้เปรียบที่สำคัญของการทำ Internal Benchmarking ได้แก่ 

๐ เป็นการสนับสนุนให้เกิดการใช้ข้อมูลหรือความรู้ต่างๆร่วมกันและเป็นการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการติดต่อสื่อสารให้เกิดขึ้นภายในองค์กร

๐ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรหรือความรู้ต่างๆในองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีการแลกเปลี่ยนหรือถ่ายทอดความรู้หรือกระบวนการต่างๆระหว่างหน่วยงานต่างๆภายในองค์กร

๐ ทำให้ได้ทดสอบและทดลองก่อนที่จะไปดำเนินการภายนอกองค์กร
สำหรับข้อเสียที่สำคัญนั้นได้แก่ทำให้เกิดมีมุมมองเฉพาะเพียงแต่ในองค์กรเท่านั้น ละเลยความสำคัญขององค์กรอื่นว่าอาจจะมีการดำเนินงานที่ดีกว่า

ประเภทของการทำ Benchmarking ทั้งสี่ประการเบื้องต้นจะแบ่งตามลักษณะที่ทำ แต่ก็มีการแบ่งการทำ Benchmarking ออกตามประเภทของกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้แก่ Process Benchmarking, Result Benchmarking, Performance Benchmarking, Strategic Benchmarking, and Best Practice Standards

1. Process Benchmarking เป็นการเปรียบเทียบกระบวนการต่าง ๆ ภายในองค์กรที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ออกมา โดยที่กระบวนการแต่ละอย่างมักจะประกอบไปด้วยวิธีการหรือขั้นตอนหลายอย่าง เป้าหมายสุดท้ายของการทำ Process Benchmarking ก็อยู่ที่การเพิ่มขึ้นของคุณภาพหรือปริมาณของผลผลิตที่ได้ เนื่องจากการพัฒนากระบวนการในการทำงานย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

Process Benchmarking เน้นที่กระบวนการในการทำงานและระบบในการดำเนินงาน เช่นระบบหรือขั้นตอนการร้องเรียนของลูกค้า ระบบการจัดเก็บเงิน ระบบการสรรหาและคัดเลือก Benchmarking ในลักษณะนี้จะพยายามที่จะเสาะหากระบวนการในการดำเนินงานที่ดีที่สุดจากองค์กรประเภทต่างๆที่มีลักษณะในการดำเนินงานที่เหมือนหรือคล้ายกัน ประโยชน์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือการทำ Process Benchmarking ย่อมนำไปสู่ผลตอบแทนหรือกำไรขาดทุนที่ดีขึ้น เนื่องจากถ้าองค์กรมีการพัฒนาในกระบวนการที่สำคัญหรือกระบวนการหลัก ย่อมเป็นการนำไปสู่การพัฒนาในการดำเนินงาน ซึ่งนำไปสู่ผลิตภาพที่สูงขึ้น หรือต้นทุนที่ลดลง 

2. Result Benchmarking เป็นการเปรียบเทียบผลลัพธ์ (Outcome) ในการดำเนินงานตั้งแต่ 2 ประการขึ้นไปกับดัชนีชี้ผลลัพธ์ในการดำเนินงานที่ได้มีการจัดทำไว้ล่วงหน้าแล้ว ดัชนีหรือเครื่องชี้ผลลัพธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่มาตรฐานในการวัดทั่ว ๆ ไป (วัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย) แต่เป็นเครื่องวัดที่องค์กรใช้วัดความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์กรหรือกิจกรรมต่างๆ การที่องค์กรให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ไม่ได้หมายความว่าความมีประสิทธิภาพของกระบวนการภายในจะไม่มีความสำคัญ บทความทางวิชาการด้านคุณภาพต่าง ๆ กล่าวไว้ว่ากระบวนการในการทำงานที่ดีย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี การ Benchmark โดยพิจารณาผลลัพธ์นี้ ย่อมสามารถช่วยบ่งชี้กระบวนการในการทำงานที่ควรจะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุง
Result Benchmarking เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการบ่งบอกถึงความแตกต่าง หรือช่องว่างในผลการดำเนินงานที่องค์กรต่าง ๆ สามารถที่จะพัฒนาได้อีกต่อไป เนื่องจาก Result Benchmarking เป็นเพียงเครื่องมือในการวัดผลการดำเนินงานขององค์กร ดังนั้น การสำรวจตรวจสอบกระบวนการ (Process) ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ออกมาจะสามารถช่วยผู้บริหารในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. Performance Benchmarking เป็นการประเมินสถานภาพทางการแข่งขันโดยพิจารณาหรือเปรียบเทียบในด้านของสินค้าหรือบริการ ซึ่งจะครอบคลุมในเรื่องของราคา คุณภาพ การใช้งานและลักษณะของสินค้าหรือบริการ ความรวดเร็ว หรือความเชื่อถือทนทาน รวมทั้งคุณสมบัติอื่นๆ การทำ Benchmarking ในลักษณะนี้สามารถทำได้โดยไม่ให้องค์กรเป้าหมายรู้ตัวได้ เช่นการทำ Reverse Engineering หรือการเปรียบเทียบระหว่างสินค้าและบริการโดยตรง หรือการวิเคราะห์ทางด้านสถิติที่สำคัญ อุตสาหกรรมจำพวกรถยนต์ คอมพิวเตอร์ การเงิน หรือเครื่องถ่ายเอกสาร มักจะใช้วิธีการนี้เป็นหลักในการทำ Benchmarking

4. Strategic Benchmarking หรือการสำรวจตรวจสอบวิธีการในการแข่งขันขององค์กรต่างๆ การทำ Strategic Benchmarking มักจะไม่เน้นหรือให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมมากนัก แต่จะให้ความสนใจกับกลยุทธ์ที่องค์กรใช้ เพื่อศึกษาถึงกลยุทธ์ที่ดีที่สุดที่องค์กรอื่นนำไปใช้และประสบความสำเร็จในการแข่งขัน บริษัทต่างๆในประเทศญี่ปุ่นมักนิยมใช้การทำ Benchmarking ในลักษณะนี้ และมักชอบที่จะมองหาองค์กรที่ดีหรือมีผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ จากนั้นจึงเข้าไปเยี่ยมเยียนหรือศึกษาองค์กรเหล่านั้น โดยมีความสนใจต่อสิ่งซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำให้บริษัทเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ในขณะที่บริษัทในอเมริกามักนิยมเริ่มที่การหากิจกรรมหรือกระบวนการที่จะทำ Benchmarking ก่อน การดำเนิน Benchmarking ลักษณะนี้จะเป็นการมองเห็นถึงผลตอบแทนที่จะได้รับในระยะยาว และผลตอบแทนที่จะได้รับมักจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า องค์กรที่ให้ความสำคัญต่อผลตอบแทนในระยะสั้นจึงมักใช้วิธี Process Benchmarking กันมากกว่า 

5. Best Practice Standards or Benchmark เป็นรูปแบบหนึ่งของการกำหนดมาตรฐาน (Standards), ซึ่งสามารถกำหนดให้ใช้เป็นเป้าหมายในการเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานที่แท้จริง โดยปกตินั้น Benchmark มักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ ระดับเฉลี่ย และระดับดีที่สุด (Best Practice Standards) ระดับที่ต่ำที่สุด (Minimum Standards) ได้แก่ระดับที่ การดำเนินงานหรือการบริการในระดับนั้นสามารถบรรลุถึงได้ตลอดเวลา (Achievable) ระดับเฉลี่ย (Average Standards) หมายถึงระดับที่ผู้ใช้บริการประมาณครึ่งหนึ่งจะได้รับบริการที่เหนือระดับมาตรฐาน ในขณะที่อีกครั้งหนึ่งจะได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ในขณะที่ระดับที่ดีที่สุด (Best Practice Standards) จะเป็นเครื่องจูงใจให้พนักงานดำเนินงานให้ได้ระดับที่สูงกว่า หรือให้ได้ผลผลิตที่ดีกว่าปกติ

ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการทำ Benchmarking 

มีปัจจัยหลายประการที่มีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำ Benchmarking โดยปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการทำ Benchmarking ได้แก่ 

1. การให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากในการทำ Benchmark นั้นจะเกิดผลกระทบต่อปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น การทำงาน การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ หรือการให้ลำดับความสำคัญแก่สิ่งต่างๆ  ในทางปฏิบัติแล้วการทำ Benchmarking จะเกิดผลกระทบต่อทุกฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กร (Stakeholders) เช่น ลูกค้า ผู้บริหาร พนักงาน เนื่องจากการทำ Benchmark ที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์ตัวเลขเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการวิเคราะห์เบื้องหลังความแตกต่างในการดำเนินงาน และยังเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจว่า กระบวนการทำงานในปัจจุบัน หรือพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่มีความถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่

2. การทำความเข้าใจต่อองค์กรของตนเอง ในการเปรียบเทียบกระบวนการในการทำงาน ถ้าตัวองค์กรเองยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีพอต่อกระบวนการในการทำงานภายในองค์กรเอง ก็จะเป็นการยากในการระบุถึงสาเหตุของความแตกต่างในการดำเนินงาน ดังนั้นผู้บริหารและพนักงานจึงควรจะมีความเข้าใจถึงกระบวนการในการทำงานในปัจจุบันขององค์กร เพื่อให้การ Benchmark ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งในการทำความเข้าใจในกระบวนการในการทำงานนี้องค์กรต่างๆ มักจะอาศัยการทำ Process Mapping หรือการสร้างแผนภาพขึ้นมาเพื่อแสดงถึงกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร รวมทั้งอธิบายถึงความสัมพันธ์ของกระบวนการและกิจกรรมต่างๆ ด้วย

3. เลือกกระบวนการที่มีความสำคัญต่อลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการ เนื่องจากประโยชน์ประการหนึ่งของการทำ Benchmarking คือการเพิ่มคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่มอบต่อลูกค้า ดังนั้น ในการเลือกกระบวนการที่จะทำ Benchmarking จึงควรเลือกกระบวนการที่มีความสำคัญต่อลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการมากที่สุด ซึ่งลูกค้าหรือผู้ใช้บริการนี้รวมถึงทั้งลูกค้าภายในและภายนอกองค์กร องค์กรเองควรมีเครื่องมือในการวัดความพึงพอใจที่ลูกค้าได้รับจากสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เพื่อจะได้ทราบว่าการทำ Benchmark ประสบความสำเร็จหรือไม่

4. เลือกใช้เครื่องมือในการวัดที่มีความเหมาะสม ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งในการทำ Benchmark ให้ประสบผลสำเร็จได้แก่ การเลือกดัชนีหรือเครื่องมือในการวัดผลการดำเนินงานที่มีความเหมาะสม ความสำเร็จของการทำ Benchmark ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้วัดและเกณฑ์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบการดำเนินงาน ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อองค์กรทำการ Benchmark กับองค์กรภายนอก เครื่องมือหรือปัจจัยในการวัดที่ไม่มีความเหมาะสมอาจทำให้การดำเนินงานขององค์กรนั้นๆมีประสิทธิภาพแย่ลงก็ได้ เช่น การไปรษณีย์ของ Australia ได้หาเครื่องมือที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการทำงานของการแยกจดหมาย (Mail Sorting) และได้เลือกใช้เกณฑ์จำนวนจดหมายที่แยกต่อวันซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและสามารถวัดได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีการวัดการดำเนินงานโดยวิธีที่ก่อให้เกิดข้อเสียต่อจดหมายที่ได้ทำการแยกไว้เรียบร้อยแล้ว จะถูกนำมาแยกใหม่อีกครั้งเพื่อเพิ่มจำนวนของจดหมายที่แยกต่อวัน ทำให้การส่งมอบจดหมายเป็นไปได้ช้าลง ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเครื่องมือในการวัดใหม่ ซึ่งในปัจจุบันได้ใช้เปอร์เซ็นต์ของจดหมายที่สามารถส่งมอบให้กับผู้รับได้ตามเวลาที่กำหนด สิ่งหนึ่งที่พึงระลึกไว้เสมอคือการประเมินผลองค์กรหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำนั้น ไม่สามารถใช้เครื่องมือในการวัดเพียงชนิดเดียวได้ จะต้องใช้เครื่องมือหลายประการเพื่อให้สามารถครอบคลุมการดำเนินงานขององค์กรทั้งหมด ซึ่งในประเด็นนี้จะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องมือในการวัดแต่ละชนิดด้วย

5. การเลือกบริษัทที่จะ Benchmark หรือองค์กรเป้าหมาย การเลือกองค์กรที่จะมาทำ Benchmark ด้วยเป็นสิ่งซึ่งมีความสำคัญมาก การเลือกสรรนี้จะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับรูปแบบและผลลัพธ์ที่วัดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยส่วนใหญ่องค์กรมักจะมีเลือกองค์กรอื่นที่มีรูปแบบและกิจกรรมต่างๆที่คล้ายคลึงกัน และจะต้องพิจารณาว่าองค์กรนั้นจะต้องมีกระบวนการในการทำงานและผลการดำเนินงานที่ดีกว่าองค์กรของตนเอง แต่ถ้าในกรณีที่เป็นการ Benchmark กระบวนการทำงานโดยทั่ว ๆ ไป (เช่น ระบบบัญชี หรือกระบวนการในการขนส่งสินค้า) ก็เป็นไปได้ที่องค์กรหรือหน่วยงานที่อยู่นอกเหนือธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เช่น บริษัทผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์สามารถปรับปรุงการจัดส่งสินค้าได้โดยดูจากบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ หรือโรงพยาบาลสามารถพัฒนากระบวนการในการรับคนไข้โดยดูจากโรงแรมชั้นนำ นอกจากนี้ลักษณะของสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องพิจารณาในการเลือกองค์กรที่จะทำ Benchmark ด้วย หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐบางแห่งไม่สามารถพิจารณาเปรียบเทียบได้กับองค์กรเอกชนเสมอไป เนื่องจากลักษณะของการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ข้อมูลเปรียบเทียบ (Comparative Information) ระหว่างองค์กรต่าง ๆ ก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญประการหนึ่งในการคัดเลือกองค์กรที่จะมาทำ Benchmark หน่วยงานราชการจะเกิดข้อเสียเปรียบในแง่ของการขาดข้อมูลที่เพียงพอที่จะทำการคัดเลือกองค์กรขึ้นมาทำ Benchmark เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐมักจะไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย

6. สร้างสรรวัฒนธรรมในการทำงานแบบใหม่ๆ เนื่องจากถ้าองค์กรใดริเริ่มที่จะทำ Benchmarking แล้ว วัฒนธรรมขององค์กรนั้นจะต้องให้การสนับสนุนให้ตัวองค์กรและพนักงานเองชอบที่จะทำการศึกษาและการเปรียบเทียบตนเองกับองค์กรอื่น ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรในลักษณะนี้มักจะหาได้ยากในหมู่องค์กรของราชการ ซึ่งมักจะมีความลังเลที่จะทำการ Benchmark กับหน่วยงานเอกชน เนื่องจากมีความกังวลถึงความเหมาะสมที่จะไปเปรียบเทียบกับหน่วยงานเอกชน (เนื่องจากมีความแตกต่างของวัตถุประสงค์และรูปแบบในการดำเนินงาน) หรือในบางกรณีก็อาจจะมีความกังวลว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานเอกชนแล้วจะแสดงให้เห็นประสิทธิภาพที่ด้อยกว่าก็ได้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วหน่วยงานภาคราชการสามารถทำ Benchmark กับหน่วยงานเอกชนได้ในลักษณะของงานที่เป็นทั่วไป และคล้ายคลึงกัน เช่น การบริหารงานบุคคล การบริหารการเงิน

สิ่งหนึ่งที่จะต้องระมัดระวังในการเปรียบเทียบกับองค์กรภายนอก คือจะต้องมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มานั้นจะไม่นำมาใช้ในการกล่าวหาหรือตอกย้ำถึงข้อด้อยของบางหน่วยงาน ในบางครั้งข้อมูลการ Benchmark ที่ไม่เป็นที่เปิดเผย อาจจะเป็นแรงจูงใจในการหาความแตกต่างที่เกิดขึ้นมากกว่า และถ้าข้อมูลที่ได้จากการ Benchmark ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างมีหลักการแล้ว ก็ย่อมจะทำให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานเพิ่มมากขึ้น

7. ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการทำ Benchmarking ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ โดยผู้บริหารต้องทำการสนับสนุนในการสร้างความเข้าใจและการสร้างความตระหนักในความสำคัญของการทำ Benchmarking ให้กับพนักงานในองค์กร นอกจากนี้ผู้บริหารต้อง

- แสดงถึงความผูกพันและเชื่อมั่นในแนวคิดเกี่ยวกับการทำ Benchmarking โดยสนับสนุนผู้บริหารระดับล่างและพนักงานทั่วๆไปในการทำ Benchmark เพื่อให้เกิดการพัฒนาขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารขององค์กรจะต้องแสดงออกถึงการสนับสนุนต่อการทำ Benchmarking และยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิด ขึ้นตั้งแต่ปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ต้นทุนที่อาจจะมี ผลตอบแทนที่อาจจะได้รับ การ ตัดสินใจต่าง ๆ ที่ผู้บริหารจะต้องทำ

- รวมเอาการทำ Benchmarking ให้เข้าไปอยู่ในแผนขององค์กร ซึ่งรวมทั้งกระบวนการ และทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำ

- สนับสนุนให้ผู้บริหารและพนักงานได้รับการฝึกอบรมที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำ Benchmarking

- จัดตั้งทีมผู้บริหารขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการริเริ่มและดูแลการทำ Benchmarking

พยายามสนับสนุนให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญในการทำ Benchmarking ทั่วทั้ง องค์กรเพื่อให้การทำ Benchmark เป็นที่ยอมรับของพนักงานระดับต่างๆ ผู้บริหารจะต้อง สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานและผลตอบแทนในอันที่จะดึงดูดให้พนักงานใช้และ ปฎิบัติตาม Benchmarking 

กระบวนการหรือขั้นตอนในการทำ Benchmarking 

การทำ Benchmarking จะต้องเริ่มจากการวิเคราะห์การดำเนินงานภายในองค์กรเองโดยเลือกพิจารณาในกระบวนการหรือหน้าที่ในด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นองค์กรจะต้องเสาะแสวงหาองค์กรอื่นขึ้นภายนอก ที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นที่ยอมรับในกระบวนการหรือในหน้าที่นั้น ๆ ความแตกต่างระหว่างกระบวนการหรือการดำเนินงานขององค์กรกับองค์กรอื่น ๆ กับองค์กรอื่นเป็นช่องว่าง (Gap) ที่จะต้องลดให้หมด ข้อมูลที่ได้จากการทำ Benchmark นี้สามารถนำมาจัดทำเป็นเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร โดยที่องค์กรได้รับรู้หรือรับทราบถึงวิธีการใหม่ ๆ จากองค์กรอื่นในการบรรลุเป้าหมายนั้น ขั้นตอนหรือกระบวนการที่สำคัญในการทำ Benchmarking นั้นอาจจะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละองค์กร อย่างไรก็ดีกระบวนการหรือขั้นตอนที่สำคัญได้แก่

1. การสรรหาและกำหนดว่ากิจกรรมหรือกระบวนการใดภายในองค์กร ที่การทำ Benchmark จะเข้าไปช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพโดยจะต้องระบุให้ได้ว่าจะทำการพัฒนาหรือปรับปรุงในส่วนไหน เช่น กิจกรรมหรือกระบวนการในการทำงานด้านต่าง ๆ
การกำหนดกิจกรรมหรือกระบวนการที่จะทำ Benchmark เป็นการกำหนดว่ากิจกรรมหรือกระบวนการใดภายในองค์กรที่ต้องการการพัฒนา ซึ่งการกำหนดกิจกรรมที่ต้องการการปรับปรุงมักจะไม่ใช่สิ่งที่ยาก แต่การจัดลำดับให้ความสำคัญก่อนหลังเป็นสิ่งที่ยากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีทุนทรัพย์หรือเวลาอย่างเพียงพอที่จะทำ Benchmark ได้ครบทุกกิจกรรม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทราบว่ากิจกรรมใดที่เมื่อทำ Benchmark แล้วจะก่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาอันนำไปสู่การเพิ่มพูนในความสามารถในการแข่งขันขององค์กร

เกณฑ์ประการหนึ่งในการพิจารณาความสำคัญของกิจกรรมที่จะเลือกทำ Benchmark ได้แก่ในเรื่องของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายอันเกิดจากกิจกรรมนั้น ซึ่งถ้ามีการ Benchmark และสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของกิจกรรมใดแล้วก่อให้เกิดการประหยัดของต้นทุน หรือการลดลงของค่าใช้จ่ายในปริมาณที่มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ กิจกรรมนั้นก็ย่อมสมควรที่จะถูก Benchmark เช่น ถ้าต้นทุนค่าวัตถุดิบคิดเป็นกว่าร้อยละ 60 ของต้นทุนทั้งหมด การประหยัดหรือการลดต้นทุนในด้านวัตถุดิบเพียงแล็กน้อย ก็อาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างใหญ่หลวงต่อต้นทุนทั้งหมด

นอกจากการที่องค์กรธุรกิจจะแข่งขันกันในเรื่องของต้นทุนแล้ว การสร้างความแตกต่างในตัวสินค้าหรือบริการก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่องค์กรธุรกิจสามารถใช้ในการแข่งขันได้ ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีอย่างรุนแรงและระดับของเทคโนโลยีของแต่ละบริษัทมีระดับที่ไม่ต่างกันมากนัก องค์กรธุรกิจสามารถที่จะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันได้โดยการสร้างความแตกต่างหรือคุณค่าในสายตาของผู้บริโภคโดยการเพิ่มการบริการหรือการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์กรนั้นก็สามารถที่จะเลือกทำ Benchmark โดยสำรวจในกิจกรรมด้านการบริการหรือบริการหลังการขายจากองค์กรชั้นนำในด้านนี้

บางองค์กรเลือกที่จะทำ Benchmark โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน เพียงแต่มีความรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาหรือเนื่องจากสภาพแวดล้อมบ่งบอกถึงสัญญาณว่าจะต้องมีการปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นอยู่และได้เลือกการทำ Benchmark เป็นหนทางในการปรับปรุงหรือเพิ่มพูนคุณภาพขององค์กร

บางองค์กรมีวิธีในการเลือกกิจกรรมที่จะทำ Benchmark โดยให้พนักงานภายในองค์กรเป็นผู้ออกเสียงเลือกเอง ซึ่งวิธีการนี้ทำให้ผู้บริหารสามารถทราบได้จริงๆถึงกิจกรรมหรือกระบวนการที่จะต้องมีการปรับปรุง และยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจว่าผู้ที่จะเป็นผู้ปฎิบัติตามผลการ Benchmark จะเป็นผู้ที่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น วิธีการในการให้ได้ความเห็นที่เป็นประดยชน์ต่อการทำ Benchmarking ได้แก่การให้พนักงานกรอกแบบตามลักษณะที่เรียกว่า Forced-Choice Survey ซึ่งปกติผู้ทำการตัดสินใจจะมีคะแนน 100 คะแนน และสามารถจัดสรรคะแนนเหล่านี้ตามกิจกรรมหรือกระบวนการต่างๆที่เห็นว่าสมควรมีการปรับปรุงโดยการทำ Benchmarking มากที่สุด ซึ่งวิธีการนี้มักจะให้ข้อมูลที่เด็ดขาดสำหรับการตัดสินใจ 

นอกจากจะต้องเลือกกิจกรรมที่จะต้องทำ Benchmarking แล้ว ผู้บริหารจะต้องพิจารณาคัดเลือกทีมงานที่จะทำ Benchmarking ด้วย การมีบุคคลที่เหมาะสมอยู่ในทีมที่จะทำ Benchmark จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำ Benchmark ให้ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดีไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวในการสรรหาทีมงาน แต่จากประสบการณ์ของหลายๆองค์กร ได้มีแนวทางในการคัดเลือกทีมให้ประสบความสำเร็จ อันได้แก่

- ผู้เชี่ยวชาญในการทำ Benchmarking ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และความชำนาญในกระบวนการทำ Benchmarking ตั้งแต่การวางแผนงาน สถานที่ในการเก็บข้อมูล การหาความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เก็บได้ และประเด็นอื่นๆซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำการศึกษา ซึ่งผู้ที่มีประสบการณ์สามารถที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีประสบการณ์
- บุคคลากรจากสายงานนั้นๆ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับกิจกรรมหรือกระบวนการที่จะทำ Benchmark ซึ่งนอกจากประโยชน์ในด้านความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมแล้ว การที่มีบุคคลในสายงานนั้นๆอยู่ในทีมงานด้วยจะช่วยลดข้อสงสัยและปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังได้

- ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Leader) ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติหรืออำนาจอย่างถูกต้องในการช่วยให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรอันเป็นผลเนื่องมาจากการทำ Benchmark

บทบาททั้งสามประการนี้อาจจะอยู่ภายใต้บุคคลเพียงคนเดียวก็ได้ อย่างไรก็ดีทีมงานที่มีประสิทธิภาพควรจะมีผู้ที่มีบทบาทเหล่านี้ในทีมงานอย่างน้อยบทบาทละหนึ่งคน ขนาดของทีมงานขึ้นอยู่กับความยากลำบากของกิจกรรมที่จะทำการ Benchmark จำนวนองค์กรที่จะทำ Benchmark ด้วย  และระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการศึกษา ทีมที่มีบุคคลตั้งแต่สามถึงหกคนเป็นทีมที่มีขนาดกำลังเหมาะ แต่ถ้าคนมากขึ้นแล้วอาจจะทำให้งานเกิดความล่าช้าขึ้นมาได้

หลังจากที่ได้คัดเลือกทีมงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปในการวางแผนได้แก่การกำหนดตารางการศึกษาให้มีความเหมาะสมกับกิจกรรมที่จะดำเนิน การกำหนดตารางการศึกษาจะช่วยให้แน่ใจถึงขั้นตอน กระบวนการ รายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการศึกษา รวมทั้งการมอบหมายหน้าที่ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งผู้นำในแต่ละทีมจะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในการทำให้บุคคลในทีมสามารถรักษาระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในตารางการศึกษา เนื่องจากความล่าช้าในส่วนใดส่วนหนึ่งย่อมจะส่งผลต่อการทำงานในกระบวนการทั้งหมด

2. พิจารณาว่าอะไรคือปัจจัยหลักที่มีความสำคัญ ซึ่งอยู่เบื้องหลังกิจกรรมหรือกระบวนการนั้นๆ โดยทำการวิเคราะห์ถึงกิจกรรม การเคลื่อนไหวของกระบวนการ หรือปัจจัยในการวัดผลการดำเนินงานที่ต้องการ และวัดหรือประเมินการดำเนินงานขององค์กรตนเอง โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องการปรับปรุง 

โดยในการกำหนดปัจจัยที่จะวัดและเปรียบเทียบนั้น ปัจจัยอย่างง่ายๆที่จะใช้วัดหรือเปรียบเทียบการดำเนินงานสามารถพิจารณาได้จาก ต้นทุน คุณภาพและระยะเวลา ซึ่งจะใช้บ่งบอกได้ว่าองค์กรใดมีการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดผลที่ถูกกว่า ดีกว่าและเร็วกว่า อย่างไรก็ดีในการกำหนดปัจจัยที่จะวัดหรือเปรียบเทียบนั้นจะมั่นใจว่าเมื่อวัดแล้วสามารถบ่งบอกได้ถึงกิจกรรมหรือกระบวนการที่จะวัดได้มากที่สุด โดยมีแนวทางในการเลือกสรรปัจจัยที่จะวัดและเปรียบเทียบคือ

๐ จะต้องระมัดระวังไม่วัดและเปรียบเทียบในปัจจัยทุกประการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหรือกิจกรรมนั้นๆ เช่น ไม่ควรวัดถึงปัจจัยนำเข้า (input) ทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนั้นๆ เนื่องจากจะก่อให้เกิดต้นทุนที่สูงและเกิดปัญหาของข้อมูลที่มากเกินความจำเป็น พยายามมุ่งเน้นหรือจำเพาะเจาะจงที่จะวัดหรือเปรียบเทียบในปัจจัยต่างๆให้น้อยที่สุดแต่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจกรรมหรือกระบวนการได้

๐ จะต้องเปิดใจให้กว้างไว้และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสิ่งที่ได้กำหนดไว้แล้ว เช่น ถ้าองค์กรของคุณต้องการที่จะวัดในปัจจัย ก. แต่เมื่อไปเปรียบเทียบกับองค์กรอื่นแล้ว องค์กรที่ดีที่สุดกลับละเลยไม่สนใจปัจจัย ก. เนื่องจากมีลักษณะที่กว้างไปและไม่เหมาะสมต่อการวัด ดังนั้นองค์กรของคุณจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมือนกับผู้อื่น

๐ จะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่ต้องการได้จากการทำ Benchmark คือสาเหตุเบื้องหลังการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าตัวเลขที่ได้จากการดำเนินงาน

3. สรรหาและกำหนดองค์กรอื่น ที่มีความสามารถหรือเป็นผู้นำในกิจกรรมหรือกระบวนการนั้นๆ หรือการสรรหาองค์กรเป้าหมาย โดยจะต้องพิจารณาถึงความเชี่ยวชาญหรือความสามารถในปัจจัยหลักซึ่งอยู่เบื้องหลังกระบวนการหรือกิจกรรมนั้นๆด้วย โดยองค์กรเหล่านี้อาจจะเป็นคู่แข่งขันหรือองค์กรซึ่งอยู่คนละอุตสาหกรรมหรือลักษณะงานซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ เช่น การที่ Xerox ทำการ Benchmark ระบบการจัดเก็บและจำหน่ายสินค้าของบริษัท L.L. Bean ซึ่งอยู่คนละอุตสาหกรรมกัน แต่เนื่องจาก L.L. Bean มีความเชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่ยอมรับในด้านระบบการจัดเก็บและจัดจำหน่ายสินค้า
ในการเลือกองค์กรเป้าหมาย ถ้าจะพิจารณาโดยความเป็นจริงแล้วองค์กรที่สามารถเป็นองค์กรเป้าหมายได้มีนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพิจารณาถึงองค์กรต่างๆทั่งโลกแล้ว อย่างไรก็ดีสามารถที่จะจัดกลุ่มองค์กรที่จะเป็นองค์กรเป้าหมายได้ออกเป็นสี่ประเภท

๐ คู่แข่งขันโดยตรงในอุตสาหกรรมเดียวกัน

๐ องค์กรที่มีโอกาสเข้ามาเป็นคู่แข่งขันในอนาคต ซึ่งอาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมชนิดเดียวกันแต่แข่งขันกันในคนละตลาด หรือองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันในปัจจุบันแต่มีแนวโน้มหรือโอกาสที่จะเข้ามาได้ในอนาคต

๐ กลุ่มหรือฝ่ายในองค์กรเดียวกันที่มีการดำเนินงานที่ดีเลิศ

๐ องค์กรในอุตสาหกรรมอื่นที่มีการดำเนินงานที่เป็นเลิศ
การเลือกองค์กรชนิดใดที่จะทำการศึกษานั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการจะปรับปรุง เช่นถ้าต้องการจะศึกษาว่าเพราะเหตุใดต้นทุนในการผลิตถึงได้สูง องค์กรสามารถที่จะทำการเปรียบเทียบได้กับคู่แข่งโดยตรงหรือคู่แข่งในอนาคตถึงการควบคุมต้นทุนในการผลิต แต่ถ้าต้องการจะปรับปรุงในส่วนที่คู่แข่งไม่มีความแข็งแกร่งและต้องการที่จะก้าวล้ำหน้าคู่แข่งออกไป ก็อาจจะเลือกจากองค์กรจากนอกอุตสาหกรรมที่มีกิจกรรมหรือกระบวนการในลักษณะคล้ายๆกัน 
แนวทางที่สามารถใช้ในการคัดเลือกองค์กรเป้าหมายได้แก่

๐ จะต้องพิจารณาคู่แข่งโดยตรงเสมอ ถึงแม้ว่าคู่แข่งโดยตรงจะไม่ใช่องค์กรที่มีผลการดำเนินการเป็นเลิศ การศึกษาหรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันจะทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมที่คู่แข่งขันกระทำอันเป็นประโยชน์ต่อการปรับคัวหรือปรับกลยุทธ์ของตัวองค์กรเอง

๐ สอบถามกับผู้บริโภคหรือลูกค้าถึงองค์กรใดที่มีความเป็นเลิศในกิจกรรมที่ต้องการจะพัฒนาและปรับปรุง นอกจากการสอบถามจากลูกค้าโดยตรงแล้วยังควรสอบถามจากผู้บริโภคหรือประชาชนโดยทั่วไปที่ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือบริการจากองค์กรของคุณ

๐ สอบถามกับพนักงานภายในองค์กรเอง โดยเฉพาะพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายจัดส่งสินค้า ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าไปคลุกคลีกับสภาพของการแข่งขันอยู่เป็นประจำ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับองค์กรที่มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ

๐ การเปรียบเทียบกับหน่วยงานภายในองค์กร (Internal Benchmarking) ซึ่งมักจะดำเนินการโดยองค์กรขนาดใหญ่ที่มีขอบข่ายการดำเนินงานอย่างกว้างขวางและมีฝ่ายต่างๆหรือพนักงานอยู่เป็นจำนวนมาก มักจะมีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่มีการดำเนินงานในด้านใดด้านหนึ่งที่เป็นเลิศ การทำ Internal Benchmarking มักจะเป็นก้าวแรกในการทำ Benchmarking ทั้งหมด แต่ก็เป็นก้าวที่สำคัญที่สามารถจะค้นพบข้อมูลหรือสิ่งที่เป็นเลิศภายในองค์กรตนเองโดยที่ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณหรือเผชิญความยากลำบากเท่าที่ควร นอกจากนี้พนักงานส่วนหนึ่งในองค์กรที่มีการดำเนินงานที่เป็นเลิศก็อาจจะมีความต้องการที่จะให้เพื่อนร่วมงานในฝ่ายอื่นๆรับรู้ถึงเบื้องหลังความสำเร็จแต่ยังไม่มีโอกาสก็อาจจะได้ทำตามสิ่งที่ต้องการ
สิ่งหนึ่งที่พึงระลึกถึงอยู่เสมอคือเมื่อเลือกที่จะทำ Benchmarking กับองค์กรอื่นที่อยู่ภายนอกอุตสาหกรรมของตนเอง องค์กรของคุณมีโอกาสหรือมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งอาจจะทำให้องค์กรของคุณก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งขันไปได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องคำนึงถึงอยู่เสมอได้แก่การทำ Benchmarking ควรจะพิจารณาถึงองค์กรอื่นๆภายนอกอุตสาหกรรมของตนเองด้วย ในบางครั้งสิ่งที่จะได้เรียนรู้จากคู่แข่งขันอาจจะน้อยกว่าสิ่งที่เรียนรู้จากองค์กรอื่นภายนอกอุตสาหกรรมของคุณ ในการคัดเลือกบริษัทเป้าหมายที่อยู่ภายนอกอุตสาหกรรมนั้น มีข้อสำคัญที่ควรจะคำนึงถึงได้แก่

๐ พิจารณาองค์กรที่มีกระบวนการหรือกิจกรรมที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับที่เลือกศึกษา

๐ พิจารณาองค์กรที่มีกระบวนการหรือกิจกรรมที่แตกต่างจากของคุณอย่างสิ้นเชิง แต่ผลลัพธ์ที่ได้หรือสินค้าและบริการที่ออกมามีลักษณะเดียวกันหรือเหมือนกัน ซึ่งองค์กรเหล่านี้จะนำเสนอวิธีการในการดำเนินงานใหม่ๆที่คุณไม่เคยนึกถึงมาก่อนได้

๐ ต้องเป็นองค์กรที่มีความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือในการศึกษาเปรียบเทียบ ซึ่งได้กลายเป็นปัญหาที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในสภาวการณ์ที่มีการ Benchmark กันอย่างมากมาย

4. ตรวจสอบ วิเคราะห์ถึงกิจกรรมและกระบวนการในองค์กร ทั้งในเชิงตัวเลขและในเชิงคุณภาพ ซึ่งรวมถึงสาเหตุและวิธีการที่องค์กรเหล่านั้นสามารถดำเนินกิจกรรมนั้นๆได้บรรลุเป้าหมาย หรืออีกในอีกนัยหนึ่ง ขั้นตอนนี้ก็คือขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นเอง ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นมีประเด็นที่สำคัญที่จะต้องพิจารณา ได้แก่

๐ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากองค์กรที่ไม่ได้เป็นคู่แข่งขันจะทำได้ง่ายกว่าจากองค์กรที่เป็นคู่แข่งขัน

๐ โดยปกติการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมเสริมหรือกิจกรรมย่อยต่างๆจะทำได้ง่ายกว่าข้อมูลเกี่ยวกับกับกิจกรรมหลัก
โดยสรุปยิ่งองค์กรที่จะเข้าไปเก็บข้อมูลเป็นคู่แข่งขันกันโดยตรงหรือมีโอกาสที่จะเป็นมากเพียงใด และกิจกรรมที่จะเข้าไปสำรวจเป็นกิจกรรมหลักมากเพียงใด การเก็บรวบรวมข้อมูลก็จะมีความยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ที่จะทำ Benchmarking พึงระลึกไว้เสมอ

นอกจากนี้การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ Benchmark ยังเปรียบเสมือนการเล่นตัวต่อ ที่จะต้องมีการนำข้อมูลหลายๆอย่างจากหลายๆแหล่งมาปะติดปะต่อกันจึงจะออกมาเป็นรูปร่างที่ชัดเจนได้ ในบางครั้งข้อมูลที่ได้แต่ละประการอาจจะดูเหมือนเป็นข้อมูลที่ไร้ค่าหรือไม่มีประโยชน์ แต่ถ้านำข้อมูลที่คิดว่าไร้ประโยชน์หลายๆประการนี้มารวมกันหรือพิจารณาร่วมกัน ข้อมูลเหล่านั้นก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมาก็ได้ การเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถแบ่งเป็น

๐ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากภายในองค์กรเอง
เนื่องจากเป้าหมายที่สำคัญของการทำ benchmark อยู่ที่การเปรียบเทียบกิจกรรมหรือการดำเนินงานภายในกับคู่แข่งหรือองค์กรอื่นๆ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากภายในหน่วยงานหรือองค์กรเอง ซึ่งโดยปกติมักจะทำก่อนที่จะไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากองค์กรข้างนอก ซึ่งการเก็บรวบรวมข้อมูลจากภายในนี้มักจะมีความสะดวกและสามารถทำได้ง่ายกว่าการเก็บข้อมูลจากภายนอก ซึ่งจะต้องทำการเก็บรวบรวมข้อมูลให้มีรายละเอียดในระดับเดียวกันกับข้อมูลที่จะไปเก็บจากภายนอก  และการเก็บจากภายในนี้จะทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นถึงข้อมูลที่จะต้องไปเก็บจากแหล่งภายนอก ในบางกรณีหลังจากการเก็บข้อมูลจากแหล่งภายนอกแล้วจะพบว่าองค์อื่นมีวิธีในการวัดหรือประเมินผลกิจกรรมหรือกระบวนการต่างๆที่แตกต่างจากองค์กรของคุณ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องกลับมาเก็บข้อมูลจากภายในองค์กรอีกครั้ง โดยใช้แบบการวัดหรือการประเมินผลที่เหมือนกับแหล่งจากภายนอก

๐ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากภายนอก
ข้อมูลจากแหล่งภายนอกสามารถมาได้จากหลายๆแหล่ง ตั้งแต่ ข้อมูลที่พิมพ์เผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง ตลอดจนการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องและรวมทั้งแหล่งอื่นๆอีกมากมาย 

5. ตรวจสอบและวัดผลการดำเนินกิจกรรม ขององค์กรตนเองเทียบกับองค์กรเป้าหมาย ซึ่งโดยปกติการวัดผลการดำเนินกิจกรรมของตนเองมักจะทำก่อนที่จะเริ่มทำการศึกษาองค์กรเป้าหมาย แต่ในบางครั้งจะพบว่าจะต้องมีการวัดผลในกิจกรรมของตนเองอีกครั้งด้วยกฎเกณฑ์และวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิม

6.สร้างแผนงานในการดำเนินงาน ให้บรรลุเป้าหมายโดยนำผลที่ได้จากการศึกษามาประยุกต์ใช้ โดยมีการปรับปรุงกระบวนการหรือกิจกรรมเดิมโดยอาศัยจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มา

7. พยายามให้ทุกคนและทุกระดับภายในองค์กรเข้ามามีส่วนร่วม กับแผนงานที่ได้จัดทำขึ้น รวมทั้งพยายามให้ทุกคนเห็นความสำคัญต่อการทำ Benchmarking


เอกสารอ้างอิง

Boxwell Jr., R.J., Benchmarking for Competitive Advantage, McGraw Hill, New York, 1994.
Evans, Anne, What Kind of Benchamarking Should You Undertake?, Benchmarking Link-Up Australia.
Evans, A. and Matters, M., The Nuts and Bolts of Benchmarking, Benchmarking Link-Up Australia.
Feltus, A., Exploding the Myths of Benchmarking, Continuous Journey, April 1994.
Watson, G.H., Strategic Benchmarking, John Wiley and Sons, New York, 1993.
Wargo, R.A., How to Avoid the Traps of Benchmarking Customer Satisfaction, Continuous Journey, June/July 1994.

<http://www.benchmarking.co.uk/bmark.htm>