Team Leadership
ปัจจุบันเรามีความสนใจต่อการศึกษาในเรื่องของภาวะผู้นำกันอย่างมาก ท่านผู้อ่านลองไปเดินตามร้านหนังสือทั้งหลายดูซิครับจะพบหนังสือเกี่ยวกับภาวะผู้นำอยู่มากมาย (ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีหนังสือเกี่ยวกับภาวะผู้นำออกมากว่า 4,000 เล่มทั่วโลก) แถมหนังสือหลายๆ เล่มที่ท่านนายกฯ ของเราแนะนำให้คณะรัฐมนตรีอ่านก็เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ เมื่อเปิดอ่านวารสารหรือหนังสือพิมพ์ทางด้านธุรกิจก็จะพบบทสัมภาษณ์ผู้นำขององค์กรต่างๆ กันอย่างมากมาย คำว่าซีอีโอ (CEO) ดูเหมือนจะกลายเป็นคำสามัญที่ทุกคนในเมืองไทยรู้จักกันแล้ว อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าความตื่นตัวในเรื่องของภาวะผู้นำในปัจจุบันจะมุ่งเน้นอยู่ที่ตัวผู้นำที่เป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรเท่านั้น จนอาจจะทำให้เราละเลยหรือเปล่าครับว่าผู้นำในองค์กรนั้นไม่ได้มีผู้นำสูงสุดเพียงท่านเดียว และการที่องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวผู้นำสูงสุดเพียงท่านเดียวเสมอไป ในแต่ละองค์กรยังมีผู้นำในระดับต่างๆ นอกเหนือจากผู้นำสูงสุดที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ องค์กรหลายแห่งที่มีผู้นำสูงสุดที่มีความรู้ ความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถนำมาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้เสมอไป ภายใต้ภาวะการแข่งขันเช่นปัจจุบัน การจะบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ได้เป็นลักษณะของ “เก่งคนเดียว” อีกต่อไป ผู้นำสูงสุดที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความสามารถในการพัฒนาให้เกิดผู้นำในทุกระดับขององค์กรมากกว่า เรียกได้ว่า “เก่งเป็นทีม ย่อมดีกว่าเก่งคนเดียว”
จริงๆ แล้วการที่เรามุ่งเน้นและให้ความสำคัญต่อตัวผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวจนละเลยผู้นำระดับอื่นๆ ในองค์กร ก็เป็นสิ่งที่เราถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วละครับ เรามักจะมีภาพอยู่ในใจว่าผู้นำที่เก่งนั้นจะต้องสามารถทำได้ทุกอย่าง มีปัญหาอะไรก็สามารถแก้ไขได้ เหมือนกับภาพที่เรามีต่อซุปเปอร์แมนหรือบรรดาซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายครับ สังเกตดูซิครับบรรดาผู้นำสูงสุดที่ประสบความสำเร็จหลายท่านที่เรามักจะเติมคำว่า “ซุปเปอร์” นำหน้าชื่อบุคคลเหล่านั้นเสมอ ดูเหมือนว่าเราเองที่ไปตั้งความคาดหวังไว้กับผู้นำสูงสุดขององค์กรไว้อย่างสูง เผลอๆ ความคาดหวังดังกล่าวจะกลายเป็นความกดดันต่อบรรดาผู้นำสูงสุดทั้งหลาย ผมไปเจองานสำรวจของอเมริกันแห่งหนึ่งที่ได้สอบถามคนกว่าพันคน ถึงสิ่งที่เขามีความคาดหวังต่อผู้นำสูงสุด ผลออกมาน่าสนใจครับ
ร้อยละ 87 คาดหวังว่าผู้นำสูงสุดจะต้องสามารถจูงใจบุคลากรให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร
ร้อยละ 78 เชื่อว่าผู้นำจะต้องสามารถเจรจาและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ร้อยละ 77 เชื่อว่าจะต้องเป็นผู้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานที่เหมาะสมขององค์กร
ร้อยละ 76 พึ่งพาผู้นำเป็นผู้กำหนดกิจกรรมที่จะทำเพื่อให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อสังคมได้ดีที่สุด
ร้อยละ 63 ต้องการให้ผู้นำสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ให้ต่อบุคลากรทั่วทั้งองค์กร
ร้อยละ 61 มองว่าผู้นำเป็นที่รับผิดชอบต่อผลผลิตของบุคลากรในองค์กร
ร้อยละ 61 คิดว่าผู้นำควรจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนกลยุทธ์ที่ดีได้
ร้อยละ 56 คิดว่าผู้นำควรจะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารงานประจำวันในองค์กร
เป็นอย่างไรบ้างครับ? อ่านผลการสำรวจดังกล่าวแล้วรู้สึกสงสารผู้ที่เป็นผู้นำสูงสุดในองค์กรนะครับ ดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นผู้นำสูงสุดจะกลายเป็นผู้เดียวที่ต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเถียงผมก็ได้ว่าคนที่เป็นผู้นำสูงสุดก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสงสัยก็คือเราสร้างความคาดหวังผิดๆ ต่อผู้นำสูงสุดหรือไม่ ผมเชื่อว่าความกดดันตรงนี้แหละครับที่ทำให้ผู้นำสูงสุดทุกท่านจะต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดหวังของทุกๆ คนที่ฝากความหวังไว้ และถ้าท่านไหนทำได้สำเร็จส่วนใหญ่ก็มักจะได้คำนำหน้าว่า “ซุปเปอร์” ไปเลย ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ใช่ผู้นำสูงสุดทุกท่านที่จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ ดังนั้นเราคงไม่แปลกใจนะครับว่าทำไมในปัจจุบันเราจะเห็นอดีตผู้นำสูงสุดที่ล้มเหลวกันมากขึ้น คำถามที่สำคัญก็คือวิธีการคิดของพวกเราเกี่ยวกับผู้นำในแบบที่เคยมีมาในอดีต (การให้ความสำคัญและความคาดหวังอย่างสูงต่อผู้นำสูงสุด) เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? เราจะสามารถหาผู้นำสูงสุดที่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของเราได้ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่? เผลอๆ เราเองเป็นผู้ที่ทำให้ผู้นำสูงสุดหลายท่านต้องล้มเหลวโดยไปตั้งความหวังไว้มากมาย เราควรที่จะลดความคาดหวังที่เรามีต่อผู้นำสูงสุดหรือไม่? เราควรที่เปลี่ยนปรัชญาและวิธีการมองภาวะผู้นำใหม่หรือไม่? จริงๆ แล้วผู้นำที่ดีควรที่จะมีลักษณะอย่างไร?
ผมมองว่าสมมติฐานเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากภาวะการแข่งขันที่รวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถหวังพึ่งผู้นำสูงสุดให้เป็นผู้นำองค์กรสู่ความสำเร็จได้อีกต่อไป องค์กรสมัยใหม่จะต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น สามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการมากขึ้น สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของคู่แข่งได้ดีขึ้น ปรับตัวต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปได้ดีขึ้น ฯลฯ ผู้นำสูงสุดคนเดียวคงยากที่จะทำสิ่งต่างๆ ข้างต้นได้ดีทั้งหมด จริงอยู่นะครับที่คงจะมีผู้นำสูงสุดที่ประสบความสำเร็จและโดดเด่นโผล่มาอีก แต่เชื่อว่าในองค์กรส่วนใหญ่เราจะหวังรอให้ผู้นำสูงสุดระดับซุปเปอร์สตาร์หล่นมาจากฟ้าเหมือนในอดีตอีกไม่ได้ ในการแข่งขันยุคใหม่องค์กรไม่สามารถหวังพึ่งผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องการผู้นำที่มีลักษณะเป็นทีมมากขึ้น (Team Leadership) ผู้นำที่เป็นทีมมีได้หลายแบบครับ จะเป็นแบบของดีแทค (DTAC) ที่มีซีอีโอร่วม (Co-CEO) ที่ทั้งคู่สามารถร่วมกันสร้างความแตกต่างและความสำเร็จให้กับบริษัทได้ดีกว่าการมีเพียงแค่ซีอีโอคนเดียว แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ทุกองค์กรมีผู้นำสูงสุดสองคนนะครับ เพราะจะทำแบบดีแทคได้คงจะต้องมีส่วนผสมที่ลงตัวพอสมควร ในขณะเดียวกัน Team Leadership ยังหมายรวมถึงการสร้างผู้นำในเกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร แทนที่จะมีผู้นำสูงสุดเพียงท่านเดียว แต่จะมีผู้ที่เป็นผู้นำเกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร การมีผู้นำเกิดขึ้นในทุกระดับจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการแข่งขันในยุคปัจจุบันได้ดีกว่าการมีผู้นำสูงสุดอยู่เพียงคนเดียว ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยนะครับว่าโดยปกติแล้วในทุกองค์กรเราก็มีผู้บริหารตามลำดับขั้นของสายการบังคับบัญชาอยู่แล้ว และบุคคลเหล่านั้นก็ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นผู้นำในทุกระดับอยู่เป็นปกติ แล้วทำไมแนวคิดในเรื่องของ Team Leadership ถึงมีความสำคัญขึ้นมา? ท่านผู้อ่านต้องอย่าลืมนะครับว่าผู้บริหารกับผู้นำ (Managers and Leaders) มีความต่างกัน ผู้บริหารหมายถึงผู้ที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งการบังคับบัญชาตามที่ได้รับการแต่งตั้ง บุคคลเหล่านั้นก็จะทำงานตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลเหล่านั้นจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้เสมอไป ผมเคยเจอในหลายองค์กรว่าผู้บริหารส่วนใหญ่จะทำงานและตัดสินใจที่เป็นงานประจำมากกว่า แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องอาศัยความเป็นผู้นำในการกล้าที่จะตัดสินใจ จูงใจ หรือสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ผู้บริหารเหล่านั้นกลับผลักหน้าที่นั้นขึ้นไปให้กับตัวผู้นำสูงสุด
จริงๆ แล้วแนวคิดในเรื่องของ Team Leadership ไม่ถือเป็นของใหม่ และเราเองก็เผชิญกับ Team Leadership กันบ่อยๆ เพียงแต่ผมอยากจะย้ำให้เราหันมาให้ความสนใจต่อ Team Leadership กันมากขึ้น ไม่ใช่ฝากความหวังไว้ที่ตัวผู้นำสูงสุดขององค์กรอีกต่อไป แต่จะต้องมีผู้นำในทุกระดับขององค์กรที่พร้อมจะก้าวขึ้นมารับผิดชอบและแสดงบทบาทของผู้นำที่จะแบ่งเบาภาระของผู้ที่เป็นผู้นำสูงสุด ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ผมก็กำลังดูเทปบันทึกการแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลหรือที่เรารู้จักกันในนามของซุปเปอร์โบว์อยู่ด้วย ดูทีมอเมริกันฟุตบอลสองทีมแข่งขันกันอยู่ยิ่งทำให้เห็นบทบาทและความสำคัญของ Team Leadership ได้อย่างชัดเจน คนที่เป็นผู้นำสูงสุดของแต่ละทีมก็คือตัวประธานสโมสรของแต่ละทีม แต่ถ้าถามว่าในกีฬาต่างๆ นั้นคนที่เป็นประธานสโมสรทำหน้าที่เป็นผู้นำแบบ “ข้ามาคนเดียว” หรือไม่? ท่านผู้อ่านก็คงจะตอบตรงกันว่าไม่ ในทีมกีฬาแต่ละทีมนั้นจะมีผู้นำในระดับต่างๆ กันไปเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน (Head Coach) หัวหน้าทีมบุก หัวหน้าทีมรับ หัวหน้าทีมพิเศษ (ในกรณีของอเมริกันฟุตบอล) และแถมในบางสถานการณ์ก็จะมีคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำโผล่ขึ้นมาในบางสถานการณ์ สิ่งที่ผมเห็นบ่อยมากในการแข่งขันกีฬาใดๆ ก็ตาม ก็คือผู้นำในระดับต่างๆ เหล่านี้จะทำหน้าที่ในบางส่วนที่เป็นบทบาทของตัวผู้นำสูงสุด และที่ชัดเจนที่สุดก็คือการปลุกเร้าและจูงใจคนในทีมเดียวกันให้มีใจสู้และไม่ยอมแพ้คู่แข่งขัน เราแทบจะไม่เคยเห็นคนที่เป็นประธานสโมสรลงมาตะโกนให้กำลังใจลูกทีมอยู่ข้างสนามเลย แต่เราจะเห็นภาพของนักกีฬาที่คอยตะโกนและให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอดเวลา บทบาทตรงนั้นแหละครับที่ผมมองว่าเป็น Team Leadership ที่แท้จริง คือแทนที่จะทำหน้าที่เพียงแค่ตามบทบาทหน้าที่ของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่และบทบาทที่ควรจะเป็นของผู้นำสูงสุดด้วย ถ้าทุกองค์กรสามารถทำแบบทีมกีฬาเหล่านี้ได้ คนที่เป็นผู้นำสูงสุดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นยอดมนุษย์อีกต่อไป และความสำเร็จของทั้งองค์กรก็จะเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกคนในองค์กร แทนที่จะเป็นของผู้บริหารสูงสุดอีกต่อไป เราไม่เคยเห็นนะครับว่าการที่ทีมกีฬาชนะการแข่งขันได้เกิดขึ้นจากตัวผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียว แต่สิ่งที่เราได้ยินก็คือเป็นสิ่งที่เกิดจากความร่วมมือของทุกคนในทีม
อย่างที่เรียนไว้ในตอนต้น ผมเชื่อว่าหน้าที่ที่สำคัญจริงๆ ของผู้บริหารสูงสุดของทุกองค์กรก็คือความสามารถในการพัฒนาผู้นำให้เกิดขึ้นในระดับต่างๆ หรือการทำให้เกิด Team Leadership ภายในองค์กร ผมยังคงเชื่อว่าการที่จะสร้าง Team Leadership ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ นั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้นำสูงสุดเป็นสำคัญ แนวคิดทางการจัดการที่สำคัญที่เราเคยได้ยินกันมาไม่ว่าจะเป็น Delegation, Decentralization, Empowerment, Leadership competencies development ล้วนแล้วแต่เป็นแนวทางที่สำคัญที่จะพัฒนาให้เกิด Team Leadership ขึ้นภายในองค์กร อย่างไรก็ดีแนวคิดทางการจัดการข้างต้นเราพูดกันได้ แต่การที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงๆ นั้นไม่ง่ายเหมือนพูดนะครับ Team Leadership จะเกิดขึ้นได้จริงๆ จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการได้แก่ 1) ตัวผู้นำสูงสุดเองจะต้องเปิดและยอมรับที่จะให้เกิดผู้นำที่แท้จริง เกิดขึ้นในทุกระดับ ไม่ใช่ฝันว่าตัวเองจะเป็นยอดมนุษย์เพียงคนเดียวในองค์กรอีกต่อไป ต่อไปบทบาทของผู้นำสูงสุดจะต้องไม่ใช่การสั่งการและบังคับบัญชาอีกต่อไป แต่จะต้องทำหน้าที่เหมือนโค้ช (Coach) มากกว่า การที่จะผู้นำสูงสุดจะเป็นโค้ชได้นั้นพวกเขาอาจจะต้องลืมวิธีการในการสั่งการแบบเดิมๆ และหันมามุ่งเน้นในเรื่องของการให้คำปรึกษา แนะนำ สนับสนุน และให้กำลังใจ เพื่อที่จะสร้างผู้นำให้เกิดขึ้นในทุกระดับ 2) องค์กรจะต้องมีระบบต่างๆ ที่เอื้อต่อการพัฒนาให้เกิดผู้นำในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว หรือระบบในการพัฒนาตนเองผ่านทางการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ 3) บุคลากรเองก็ต้องมีความพร้อมทั้งในตัวทักษะและจิตใจที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่แท้จริง ความพร้อมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความพร้อมทางด้านทักษะในเรื่องของความเป็นผู้นำ หรือการตัดสินใจเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่ยังเป็นความพร้อมในด้านจิตใจด้วย นั้นคือบุคลากรในองค์กรจะต้องมีความอยากที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในหน่วยงานของตนด้วย พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นในตนเอง
ในช่วงระยะหลังผมเห็นบุคลากรหลายท่านที่มีทักษะที่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่สิ่งที่ขาดก็คือความอยากหรือแรงบันดาลใจ (Passion or Drive) ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนที่จะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจก็จะต้องมีความอยากหรือแรงบันดาลใจในตัวเองที่สูงพอสมควร เช่นเดียวกับคนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ก็จะต้องมีความอยากหรือแรงบันดาลใจที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ (Passion to be a leader) คนทำงานเก่งๆ หลายคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากเขาเหล่านั้นขาดเจ้าตัวความอยากและแรงบันดาลใจนั้นเอง แต่โจทย์สำคัญตอนนี้ก็คือเราจะสร้างความอยากหรือแรงบันดาลใจขึ้นมาได้อย่างไร? ผมลองย้อนกลับไปพิจารณาหลักการทั่วๆ ไปเกี่ยวกับแรงจูงใจที่เราเรียนกันมาแล้วก็ยังไม่พบแนวคิดไหนเลยนะครับที่บอกถึงแนวทางในการสร้างความอยากและแรงบันดาลใจให้คนอยากที่จะเป็นผู้นำ
ผมเองได้มีโอกาสไปค้นเจอตัวอย่างของคุณลักษณะหรือความสามารถ (Competency) ที่คนที่จะเป็น Team Leadership ควรจะมี คุณสมบัติเหล่านั้นประกอบด้วย ความสามารถในการพัฒนาและจูงใจบุคลากรในทีมหรือหน่วยงานของตน ความสามารถในการนำการสนทนาและแก้ไขปัญหาของทีม ความสามารถในการมองเห็นถึงความแตกต่างและการจัดการกับความแตกต่างของความคิดเห็นและวิธีการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ความสามารถในการที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม ความสามารถในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ความสามารถในการฟัง ความสามารถในการกำหนดและแบ่งปันความรับผิดชอบ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาและมองหาโอกาสใหม่ๆ ความสามารถในการจัดการกับปัญหาและไอเดียที่หลากหลาย การมีพลังงานและความมุ่งมั่น ดูแลก็เยอะดีนะครับ ไม่รู้ว่าพอนำเสนอคุณสมบัติข้างต้นไปจะทำให้คนไม่อยากเป็นผู้นำกันมากขึ้นหรือเปล่า? ทีนี้เราลองมาดูกันต่อนะครับ ว่าถ้าองค์กรต้องการพัฒนาให้เกิด Team Leadership ขึ้นมาภายในองค์กรจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง
- ระบุคุณสมบัติและความสามารถที่เหมาะสมของผู้นำ ที่องค์กรต้องการเพื่อที่จะทำให้บรรลุต่อวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ (คุณสมบัติที่เหมาะสมอยู่ในย่อหน้าที่แล้ว)
- ผู้นำระดับสูงขององค์กรจะต้องเห็นถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้นำในระดับต่างๆ ผู้นำระดับสูงควรจะเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาผู้นำในทุกระดับ และการเข้ามามีบทบาทนั้นไม่ได้เป็นการพูดถึงทฤษฎีทางด้านภาวะผู้นำ แต่เป็นการเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของตนเองเช่นในกรณีของ Jack Welch ของจีอีที่ให้ความสำคัญกับการเข้ามาพูดคุยกับผู้บริหารในระดับต่างๆ ของจีอีเป็นอย่างมาก และการเข้ามาบอกเหล่าประสบการณ์เหล่านี้จะดียิ่งขึ้นถ้าผู้นำสูงสุดยอมที่จะเล่าประสบการณ์ในช่วงที่แย่และเลวร้ายที่สุดของตนเอง
- กำหนดแนวทางในการพัฒนาผู้นำที่เหมาะสมที่สุด โดยโครงการพัฒนาผู้นำดังกล่าวจะต้อง
- มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจอย่างแท้จริง ไม่ใช่การพัฒนาผู้นำตามทฤษฎีใหม่ล่าสุดจากที่ปรึกษาที่จ้างเข้ามา และเป็นผู้นำทีมุ่งเน้นแต่ทฤษฎีเป็นหลัก โดยไม่สามารถเห็นผลจริงได้
- ให้ทุกคนที่มีความสนใจอยากจะพัฒนาตนเองเป็นผู้นำได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่ว่าไปหาคนที่ขาด Passion ที่จะเป็นผู้นำเข้ามาพัฒนา ก็คงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
- ทำการพัฒนาความสามารถด้านผู้นำในตัวบุคลากรอย่างแท้จริง ใช้เครื่องมือและวิธีการต่างๆ ในการทำให้บุคลากรได้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงและเห็นผลได้ โดยให้บุคลากรได้มีโอกาสในการที่จะ
- ได้มีโอกาสหรือส่วนร่วมในงานหรือโครงการพิเศษนอกเหนือจากงานประจำ เพื่อให้ได้มีโอกาสในการเรียนรู้และรู้จักกับงานหรือบุคคลใหม่ๆ นอกเหนือจากที่ตนเองรับผิดชอบ
- มีการมอบหมายงานใหม่ๆ ให้ทำเพื่อให้ได้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในการทำงาน
-ให้ได้มีโอกาสเข้าไปสอนงานหรือเป็นพี่เลี้ยงให้กับบุคคลอื่น การที่ได้สอนงานหรือเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้อื่นนั้นเป็นโอกาสอันดีที่ได้มีโอกาสกลับมาทบทวนในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ รวมทั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนเองมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ
-ได้รับการสอนงานหรือโค้ชจากผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของกลุ่มหรือเดี่ยว
-ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการอบรมหรือกิจกรรมการพัฒนาตนเองที่ภายนอกจัดขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างครับหลักการและความสำคัญของเรื่อง Team Leadership แนวคิดนี้อาจจะเป็นแนวคิดที่หลายๆ คนมักจะมองข้าม แต่ผมคิดว่าเราควรจะหันมาให้ความสนใจกับแนวคิดนี้หน่อยนะครับ อย่างน้อยก็จะทำให้ตัวผู้นำสูงสุดไม่ต้องพยายามทำตัวเหมือนเป็นซุปเปอร์แมนอีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาองค์กรในระยะยาวด้วย แถมผมมองว่าการทำให้เกิด Team Leadership
No comments:
Post a Comment